แด่คนที่คิดถึง แด่คนที่หล่นหาย แด่คนที่เคยใกล้ แด่คนไกลทุกๆ คน...
เคยนับไหม ว่าตั้งแต่เกิดมา มีใครผ่านเข้ามาในชีวิตเราบ้าง
เคยนับไหม ว่าจากวันนั้นถึงวันนี้ กี่คนกันที่เรายังมีปฏิสัมพันธ์อยู่ด้วย ไม่เคยห่างหาย...
มันลดลง ลดลง ใช่ไหม
บ้างหายไปเพราะความไม่เข้าใจกัน
บ้างหายไปเพราะระยะทาง
บ้างหายไป...หายไปแบบที่เราแทบไม่รู้ตัว
เคยรู้สึกเสียดายไหม
เราเคยมีความสุขมากๆ ในช่วงชีวิตหนึ่งกับใครสักคน (หรือหลายคน)
แต่แล้ววันหนึ่ง เราก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป โดยที่คนเหล่านั้น ค่อยๆ เดินออกจากชีวิตเราไป หรือเป็นเราที่ตัดสินใจเดินออกมา
อาจจะตั้งใจ ...หรือไม่ได้ตั้งใจ
แต่ผลลัพธ์ คือ มันไม่เหมือนเดิม... ไม่มีวันเหมือนเดิม
จนกระทั่งปัจจุบัน มี Social Network ช่องทางการสื่อสารที่ทำให้ความไกล กลับใกล้เข้ามาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แต่เชื่อไหม ความใกล้...บางทีมันก็ทำให้รู้สึกว่า ทุกอย่างยิ่งไกลออกไป
เราติดนิสัย ทักทายด้วยการ "กด like" เพียงเพื่อให้รู้ว่า "กูอ่านแล้ว"
มันเพียงพอแล้วหรือ?
------------------------------------------------------------------------------------
กาลครั้งหนึ่ง เราเคยรู้จักกัน
เด็กน้อย
- เพื่อนตัวสูงโย่ง ผู้ชอบราอูล กอนซาเลซ เป็นชีวิตจิตใจ
- เพื่อนผู้ชอบบีม D2B เป็นชีวิตจิตใจ และเขียนจดหมายหากันอยู่บ่อยๆ
- เพื่อนที่นั่งเรียนข้างๆ กัน มา 6 ปี (เพื่อนสนิทในชีวิตเด็กมัธยม บัดนี้ เราห่างกัน ห่างด้วยระยะทาง ห่างด้วยการพูดคุย... ห่างไปแบบน่าเสียดาย)
- เพื่อน 3/11 ที่เราเคยสนุกสนาน เพื่อน 6/3 ที่ผ่านอะไรหลายๆ อย่างมาด้วยกัน ...บางครั้ง ห่างออกมาแล้ว มันก็กลับไปเหมือนเดิมได้ยาก
- เพื่อนเอกอิ๊งค์ มศว เพื่อนในวัยกึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่ ตอนนี้เรายังคงมองดูกันและกันอยู่อย่างห่างๆ บางคนตัดเราออกจากชีวิต บางคนเราก็เลือกที่จะตัดออกจากชีวิต ...เราเริ่มรู้สึกว่า ชีวิตต้องมีการคัดกรอง จริงไหม?
- เพื่อนสุดโก๊ะของกลุ่ม ผู้ชอบใส่เสื้อในลายดอกไม้ ...ใช้ชีวิตต่างแดนให้สนุกนะ :)
- เพื่อนตัวใหญ่สุดของกลุ่ม ...เราใกล้แต่ทำไมรู้สึกเหมือนยิ่งไกล เราไม่มั่นใจ ว่าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม
- น้องรหัส ...ทัศนคติบางเรื่อง ทำให้เราตัดสินใจตัดใครบางคนออกจากชีวิต น้องก็เป็นหนึ่งคนที่พี่คิดว่า เราไม่สามารถดำเนินชีวิตไปด้วยกันได้ ขอโทษด้วยจริงๆ
- พี่สายรหัส ...อยากกลับมาพบปะกันบ้างเหมือนก่อน แต่เราคงห่าง ห่างกันไกลเกินไปแล้วจริงๆ
- อาจารย์ผู้เป็นที่รักทุกท่าน ...หนูระลึกถึงคำสั่งสอนเสมอมา ขอบคุณจากใจจริงค่ะ
แยกย้าย ก้าวเดิน
ก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยทำงาน กับเพื่อนร่วมงานกลุ่มแรก กลุ่มใหญ่ ที่เอ็นดู และคอยช่วยเหลือเด็กคนนี้มาตลอด
- พี่นก พี่ไหม พี่วัฒน์ ...เรายังพร้อมเจอกันได้เสมอเมื่อชาติต้องการ :)
- พี่ตัวอ้วน เราเริ่มไม่มีกันและกันตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ...
- พี่ B ...หลายครั้งที่ไม่ลงรอยกัน หลายครั้งที่ต้องเสียน้ำตา แต่ทุกครั้งที่ห่างหาย ใจมันบอกให้กลับไปหาทุกที ...เชื่อนะ ว่าเรายังเหมือนเดิม
- พี่ๆ ทีมเซลล์... เพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่ที่สุดในชีวิต เพื่อนที่เป็นยิ่งกว่าเพื่อน เพื่อนที่เคยคิดว่า เราคงจะอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีพวกเค้ามาก่อกวน แต่ที่สุดแล้ว ระยะเวลา ระยะทาง ก็ทำให้เราอยู่ได้ ต่างคนต่างมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ...บุคคลที่หล่นหาย
- แด่คนที่ร้องเพลงเพราะที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา เพลง "ของขวัญ" เพราะมากจริงๆ ^^
- แด่นายที่เข้ามาก่อกวนชีวิตเรา และออกไปโดยไม่ใยดี ...บางครั้ง การใช้อารมณ์ก็ทำให้ทุกสิ่งมันยิ่งเลวร้าย ...บุคคลที่เดินจากไป ตลอดกาล
- แด่หัวหน้าคนเดียวที่เล็กกวนตีนได้ โดยไม่โดนไล่ตะเพิด บุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต พี่ไม่ใช่คนอ่อนด๋อย พี่เจ๋งว่ะ
- พี่ๆ syngenta ทุกคน ดีใจนะที่ได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานที่นี่ :)
- พี่ๆ ที่ MAC ทุกคน ที่ทำงานที่ทุกข์ใจทุกครั้งที่เดินเข้าไป แต่อย่างน้อย...มันก็เคยเป็นที่ที่ทำให้ได้เรียนรู้ว่า ความฝันที่ได้ลองทำแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะชอบมันเสมอไป
- พี่บอล ...เล็กอึดอัดตลอดเวลาที่มีพี่บอลเป็นหัวหน้า แต่บางอย่างมันบอกเล็กว่า นอกสนาม...เรามีบางอย่างที่คล้ายกัน เราเหมาะที่จะเป็นพี่น้องกันมากกว่าหัวหน้ากับลูกน้องนะ พูดเลย ขอเตะบอลทีนะ :P
- น้องออย น้องแม็ก พี่นัท เพื่อนร่วมงานที่เรียบร้อยที่สุดเท่าที่เคยเจอมา ขอโทษที่ห่างหาย ขอโทษจริงๆ...
- พี่โอ หนึ่งในเพื่อนในวัยผู้ใหญ่ เป็นหนึ่งมิตรที่ดีที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
- พี่ๆ ป.โท หลายๆ คนที่คอยช่วยเหลือกัน และคอยทำร้ายกันตลอดเวลาที่รู้จักกัน
- พี่สาวคนกลาง ที่หน้าที่การงาน ทำให้เราต้องห่างกัน...
- ญาติๆ ทุกคน เด็กคนนี้ แทบไม่เคยติดต่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบ เด็กไม่ดี
- และอีกหลายคน ที่หล่นหายไปไกล ไม่อยู่ในสารบบความคิดในยามค่ำคืนแบบนี้
ปัจจบุัน ดำเนินไป
- เพื่อนร่วมห้อง... นับวันยิ่งรัก นับวันยิ่งรู้ว่า ดีร้ายยังไง เราก็ยังอยู่ด้วยกันได้ ดีร้ายยังไง เราก็ต้องตามใจ และเอาใจ ...เล็กจะพยายามเป็นเด็กดีนะ
- พี่ร่วมเรียน ...เพื่อนกลุ่มใหม่ที่ยังเป็นปัจจุบัน เชื่อว่าเรียนจบ เราคงต้องแยกย้าย และกลายเป็นบุคคลที่หล่นหาย ซึ่งกันและกัน
- เพื่อนร่วมงานปัจจุบัน ที่ยังต้องเรียนรู้กันต่อไป...
- ครอบครัว พ่อแม่ ที่ห่างไกล แต่ไม่มีวันห่างกัน
- เพื่อนรุ่นพี่ในโลก social ...ยังแปลกใจอยู่ว่าเรามีกันและกันแบบนี้ได้ยังไง เด็กโดดกิจกรรม และรุ่นพี่กิจกรรม ปัจจุบัน พร่ำเพ้อกันอยู่ใน twitter
- และสุดท้าย เพื่อนที่ยังเรียกได้ว่าเพื่อน ทักทายกันเมื่อคิดถึง ห่างหายเมื่อต่างมีชีวิตส่วนตัว ปรับทุกข์กันเมื่อมี ให้กำลังใจกันเมื่อต้องการ ...เราจะเป็นปัจจุบันของกันและกันตลอดไปนะ :)
----------------------------------------------------------------------------
เราเดินทางมาไกล
หลายคนผ่านเข้ามาเพื่อพบ และเพียงผ่านไป
หลายคนเราเลือกให้อยู่ หลายคนที่เราเลือกเดินจากมา
ระยะทางและกาลเวลา เป็นตัวกลั่นกรอง ให้เราคบคนที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ
คนที่ไม่อยู่ในชีวิตเรา อาจจะไม่ใช่คนที่ไม่มีคุณภาพ
แต่อาจจะเป็นเราเสียเอง ที่เป็นคนไม่มีคุณภาพสำหรับชีวิตของเขา
นั่นเอง ทำให้เราไม่มีกันและกัน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีกันและกัน
บทสรุปสุดท้ายของชีวิต
ถ้าทำได้ รักษาคนดีๆ ที่ผ่านเข้ามาไว้ รักษาไว้จนกว่าเราจะไม่เป็นที่ต้องการ
เราเชื่อว่า ยิ่งมีเยอะยิ่งดี ยิ่งมีน้อยก็ยิ่งเหงา
แต่ยิ่งเหงาก็ยิ่งทำให้เรามีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น
ทำอะไรที่มีความสุขได้ด้วยตัวเอง ...ความสุขแบบที่ไม่ต้องรอ
แล้วเราจะลืมสิ่งที่หล่นหาย แล้วเราจะต้องอยู่กับปัจจุบัน
แล้วเราจะลืมว่าเราเคยเสียดาย เพราะสิ่งที่หล่นหาย ไม่มีวันได้คืน...
ราตรีสวัสดิ์
Monday, October 21, 2013
Saturday, October 12, 2013
เล็กน้อยที่ยิ่งใหญ่ กำลังใจไม่มีที่สิ้นสุด
"ใจ...สู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา โอกาส..ของผู้กล้า ศรัทธา ไม่มีถอย..."
เสียงเพลงดังก้องกังวาน ไปทั่วทั้งห้องอ่านหนังสือในมหาวิทยาลัย
ทันทีที่บทเพลงสั้นๆ จบลง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้อง
กอปรกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นทุกคน
วันนี้เป็นหนึ่งในวันที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงมีสอบปลายภาค
เป็นวันที่ห้องอ่านหนังสือจะเต็มไปด้วยเหล่านักศึกษาที่กำลังเคร่งเครียดกับการอ่านหนังสือสอบ
ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับร้องเพลง "ศรัทธา" ของ หิน เหล็ก ไฟ
บรรยากาศที่เงียบ มีคนหนึ่งคนเดินเข้ามาร้องเพลง จบลงด้วยเสียงปรบมือ
และการจากไปพร้อมกับความสุขเล็กๆ ...เล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่ :)
ไม่รู้ว่าที่อื่นจะมีบรรยากาศแบบนี้ไหม แต่สำหรับที่นี่ เรียกได้ว่า เป็นเรื่องปกติดีกว่า
เพราะไปทุกครั้ง ก็จะมีโอกาสได้ฟังเพลงเพราะๆ แบบนี้ทุกครั้งไป
เคยคิดว่า เอ๊ะ เป็นคนบ้าหรือเปล่า คนปกติที่ไหนจะกล้ามาร้องเพลงบ้าบอต่อหน้าคนเยอะแยะแบบนี้
...และเหมือนเป็นการให้เกียรติ
ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนั้น ก็จะต้องปรบมือทุกครั้งที่ผู้มอบเสียงเพลง ร้องเพลงจบ
วันนี้ก็เช่นเดียวกัน นัดเพื่อนไปคุยงาน คุยเสร็จไปแล้วหนึ่งคน แล้วก็ต้องออกไปหาเพื่อนอีกคนหนึ่ง
กำลังเก็บกระเป๋า ชายคนนี้ก็เดินเข้ามาร้องเพลงให้ฟัง
ปกติก็รู้สึกเฉยๆ แต่วันนี้ เป็นวันที่ทุกคนมาทำหน้าที่ของตัวเอง หน้าที่ "นักศึกษา"
คนๆ นี้เข้ามาเป็น "ผู้มอบกำลังใจ" ทั้งๆ ที่ เขาและพวกเขา ไม่น่าจะรู้จักกัน
เราเชื่อว่า นักศึกษาเหล่านั้น คงได้รับกำลังใจไปมากโขเลยล่ะ
พอเดินออกมา ก็รู้สึกเหมือนต้องมนต์อีกครั้ง
ชายคนนี้กำลังร้องเพลง ให้กับนักศึกษากลุ่มที่นั่งอยู่ด้านนอกฟังอีกครั้ง
ด้วยเพลงๆ เดียวกันนี้ และครั้งนี้ เราได้ยินมันชัดเจนขึ้น...
ชัดเจนทั้งความไพเราะ ชัดเจนทั้งความรู้สึก
เราเพ่งมองไปที่ชายคนนี้ จดจำรายละเอียดด้วยสายตา (เพราะไม่กล้าหยิบกล้องมาถ่ายรูป)
เขาเป็นผู้ชาย เราว่าเขาเป็นผู้ชาย... ใส่ถุงเท้าดึงขึ้นสูงแบบไม่พับ รองเท้าผ้าใบ ชุดสายเดี่ยวน่ารักๆ แบบเด็กๆ
บนหัวมีที่คาดผมอันใหญ่ยักษ์สีชมพู ในมือถือป้าย... ที่เราได้เห็นตอนเขาหันมาทางเรา
ป้ายนั้นเขียนว่า "ลูกพ่อขุนสู้ๆ" ...เป็นป้ายที่ติดสติ๊กเกอร์มาอย่างดี
เป็นป้ายที่ดูแล้วตั้งใจทำ เรามองเห็นถึงความตั้งใจ
ทันทีที่ชายคนนี้ร้องเพลงจบ นักศึกษาโดยรอบก็ปรบมือให้กับเขา เสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณนั้น
ชายคนนั้นโค้งขอบคุณด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยิ้มอย่างจริงใจ...
ทุกสายตามองไปที่เขา เราก็ด้วย แต่สิ่งที่เราสังเกตคือ...
ในมือชายคนนี้ ไม่ได้ถือกล่องรับบริจาคใดๆ ทั้งสิ้น
เขาไม่ได้มาขอ แต่เขามาให้...
ให้ความรู้สึกดีๆ ให้รอยยิ้ม ให้กำลังใจ ให้ความสุข...
เราเผลอเดินตามผู้ชายคนนี้ไป ด้วยความรู้สึกชื่นชม
เดินออกนอกเส้นทางที่เราจะไปไว้เยอะ ด้วยความอยากรู้ว่า
เขาจะไปมอบกำลังใจให้กับใครอีกหรือเปล่านะ
แต่ก็ดึงตัวเองกลับมาได้ ว่าแกจะเดินไปไหวเหรอ แดดร้อนมากนะ
ก็เลยปล่อยชายคนนั้นไป...
จากเหตุการณ์วันนี้ ทำให้เรารู้ว่า...
สังคมมนุษย์ มันยังไม่ได้แย่อย่างที่เราคิด
ท่ามกลางสังคมที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
ท่ามกลางสังคมที่ทุกคนแก่งแย่งชิงดี
ท่ามกลางสังคมที่เราหาความจริงใจได้ยาก
เขาอาจจะเป็นคนที่ได้ผลประโยชน์จากครั้งนี้
เขาอาจจะเป็นคนของกลุ่มนักศึกษาที่หวังผลจากการเลือกตั้ง
หรือเขาอาจจะเป็นคนบ้า...แต่ถ้าพี่บ้าแล้วร้องเพลงเพราะขนาดนี้
พี่ไปประกวด The Voice เถอะ...
แต่เชื่อไหม... สิ่งที่เขาได้ มันได้ไปมากกว่านั้น...สิ่งที่เขาให้ มันมีคุณค่ามหาศาล
วันนี้ได้เข้าไปเป็นผู้รับ เป็นผู้รับยังโคตรสุขใจ พี่เป็นผู้ให้ คงสุขใจโคตรๆ แน่ๆ เลย
แล้วเราเป็นได้ขนาดไหน เราทำได้เท่าเขาไหม
ทำอะไรต้องมีศรัทธา... อย่าท้อถอยกับอะไรง่ายๆ
มองดูคนรอบข้าง เขาอาจจะดีกว่าเรา หรือเขาอาจจะแย่กว่าเรา
เอามันมาเป็นกำลังใจ...แล้วก้าวต่อไปนะ เราเอาใจช่วย :)
"ใจ...สู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา โอกาส..ของผู้กล้า ศรัทธา ไม่มีถอย..."
เสียงเพลงดังก้องกังวาน ไปทั่วทั้งห้องอ่านหนังสือในมหาวิทยาลัย
ทันทีที่บทเพลงสั้นๆ จบลง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้อง
กอปรกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นทุกคน
วันนี้เป็นหนึ่งในวันที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงมีสอบปลายภาค
เป็นวันที่ห้องอ่านหนังสือจะเต็มไปด้วยเหล่านักศึกษาที่กำลังเคร่งเครียดกับการอ่านหนังสือสอบ
ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับร้องเพลง "ศรัทธา" ของ หิน เหล็ก ไฟ
บรรยากาศที่เงียบ มีคนหนึ่งคนเดินเข้ามาร้องเพลง จบลงด้วยเสียงปรบมือ
และการจากไปพร้อมกับความสุขเล็กๆ ...เล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่ :)
ไม่รู้ว่าที่อื่นจะมีบรรยากาศแบบนี้ไหม แต่สำหรับที่นี่ เรียกได้ว่า เป็นเรื่องปกติดีกว่า
เพราะไปทุกครั้ง ก็จะมีโอกาสได้ฟังเพลงเพราะๆ แบบนี้ทุกครั้งไป
เคยคิดว่า เอ๊ะ เป็นคนบ้าหรือเปล่า คนปกติที่ไหนจะกล้ามาร้องเพลงบ้าบอต่อหน้าคนเยอะแยะแบบนี้
...และเหมือนเป็นการให้เกียรติ
ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนั้น ก็จะต้องปรบมือทุกครั้งที่ผู้มอบเสียงเพลง ร้องเพลงจบ
วันนี้ก็เช่นเดียวกัน นัดเพื่อนไปคุยงาน คุยเสร็จไปแล้วหนึ่งคน แล้วก็ต้องออกไปหาเพื่อนอีกคนหนึ่ง
กำลังเก็บกระเป๋า ชายคนนี้ก็เดินเข้ามาร้องเพลงให้ฟัง
ปกติก็รู้สึกเฉยๆ แต่วันนี้ เป็นวันที่ทุกคนมาทำหน้าที่ของตัวเอง หน้าที่ "นักศึกษา"
คนๆ นี้เข้ามาเป็น "ผู้มอบกำลังใจ" ทั้งๆ ที่ เขาและพวกเขา ไม่น่าจะรู้จักกัน
เราเชื่อว่า นักศึกษาเหล่านั้น คงได้รับกำลังใจไปมากโขเลยล่ะ
พอเดินออกมา ก็รู้สึกเหมือนต้องมนต์อีกครั้ง
ชายคนนี้กำลังร้องเพลง ให้กับนักศึกษากลุ่มที่นั่งอยู่ด้านนอกฟังอีกครั้ง
ด้วยเพลงๆ เดียวกันนี้ และครั้งนี้ เราได้ยินมันชัดเจนขึ้น...
ชัดเจนทั้งความไพเราะ ชัดเจนทั้งความรู้สึก
เราเพ่งมองไปที่ชายคนนี้ จดจำรายละเอียดด้วยสายตา (เพราะไม่กล้าหยิบกล้องมาถ่ายรูป)
เขาเป็นผู้ชาย เราว่าเขาเป็นผู้ชาย... ใส่ถุงเท้าดึงขึ้นสูงแบบไม่พับ รองเท้าผ้าใบ ชุดสายเดี่ยวน่ารักๆ แบบเด็กๆ
บนหัวมีที่คาดผมอันใหญ่ยักษ์สีชมพู ในมือถือป้าย... ที่เราได้เห็นตอนเขาหันมาทางเรา
ป้ายนั้นเขียนว่า "ลูกพ่อขุนสู้ๆ" ...เป็นป้ายที่ติดสติ๊กเกอร์มาอย่างดี
เป็นป้ายที่ดูแล้วตั้งใจทำ เรามองเห็นถึงความตั้งใจ
ทันทีที่ชายคนนี้ร้องเพลงจบ นักศึกษาโดยรอบก็ปรบมือให้กับเขา เสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณนั้น
ชายคนนั้นโค้งขอบคุณด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยิ้มอย่างจริงใจ...
ทุกสายตามองไปที่เขา เราก็ด้วย แต่สิ่งที่เราสังเกตคือ...
ในมือชายคนนี้ ไม่ได้ถือกล่องรับบริจาคใดๆ ทั้งสิ้น
เขาไม่ได้มาขอ แต่เขามาให้...
ให้ความรู้สึกดีๆ ให้รอยยิ้ม ให้กำลังใจ ให้ความสุข...
เราเผลอเดินตามผู้ชายคนนี้ไป ด้วยความรู้สึกชื่นชม
เดินออกนอกเส้นทางที่เราจะไปไว้เยอะ ด้วยความอยากรู้ว่า
เขาจะไปมอบกำลังใจให้กับใครอีกหรือเปล่านะ
แต่ก็ดึงตัวเองกลับมาได้ ว่าแกจะเดินไปไหวเหรอ แดดร้อนมากนะ
ก็เลยปล่อยชายคนนั้นไป...
จากเหตุการณ์วันนี้ ทำให้เรารู้ว่า...
สังคมมนุษย์ มันยังไม่ได้แย่อย่างที่เราคิด
ท่ามกลางสังคมที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
ท่ามกลางสังคมที่ทุกคนแก่งแย่งชิงดี
ท่ามกลางสังคมที่เราหาความจริงใจได้ยาก
เขาอาจจะเป็นคนที่ได้ผลประโยชน์จากครั้งนี้
เขาอาจจะเป็นคนของกลุ่มนักศึกษาที่หวังผลจากการเลือกตั้ง
หรือเขาอาจจะเป็นคนบ้า...แต่ถ้าพี่บ้าแล้วร้องเพลงเพราะขนาดนี้
พี่ไปประกวด The Voice เถอะ...
แต่เชื่อไหม... สิ่งที่เขาได้ มันได้ไปมากกว่านั้น...สิ่งที่เขาให้ มันมีคุณค่ามหาศาล
วันนี้ได้เข้าไปเป็นผู้รับ เป็นผู้รับยังโคตรสุขใจ พี่เป็นผู้ให้ คงสุขใจโคตรๆ แน่ๆ เลย
แล้วเราเป็นได้ขนาดไหน เราทำได้เท่าเขาไหม
ทำอะไรต้องมีศรัทธา... อย่าท้อถอยกับอะไรง่ายๆ
มองดูคนรอบข้าง เขาอาจจะดีกว่าเรา หรือเขาอาจจะแย่กว่าเรา
เอามันมาเป็นกำลังใจ...แล้วก้าวต่อไปนะ เราเอาใจช่วย :)
"ใจ...สู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา โอกาส..ของผู้กล้า ศรัทธา ไม่มีถอย..."
Wednesday, October 9, 2013
เพลง track ใน
Blog นี้ มอบแด่คนชอบฟังเพลง และคนทำเพลง
"เพลง" สิ่งที่จรรโลงจิตใจ สิ่งที่น่าอัศจรรย์...
ชอบฟังเพลงกันรึเปล่า?
สำหรับเรา... ชอบมากเลยล่ะ
ไม่น่าเชื่อ ว่ามันจะเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ที่เราสามารถเรียกมันว่า "เพื่อน" ได้
วิวัฒนาการของมันมีมานานมาก
แต่เราเกิดทันในยุคเทปคลาสเซ็ท
อยากจะพาไปดูหัวเตียงที่บ้านจริงๆ
สมัยเด็กๆ ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 40 บาท ยังแอบไปซื้อเทปม้วนละ 90-100 บาท ได้
นับว่าเป็นเด็กที่มีความพยายาม และ รักเสียงเพลงมากจริงๆ 555+
ไม่เพียงเท่านั้น... เวลาศิลปินนักร้องมาเยี่ยมร้านเทป
เลิกเรียน ปารัชญ์ก็รีบไปรอดูจ้าาาา ถ้าชอบมากๆ ก็ไปขอลายเซ็นต์ด้วย เจ๋งสุดๆ ฮ่าๆ
สิ่งที่ต้องมีอีกอย่างหนึ่งก็คือ วิทยุ
แล้วถ้าใครเคยฟังเทป จะรู้เลยว่า มันจะมี 2 หน้า คือหน้า A และหน้า B
เวลาฟังก็ต้องฟังเรียงต่อกันไป จะสวิตช์ข้ามแทร็กแต่ละครั้งก็ยาก
ไม่ใช่ยากหรอก แต่มันเสี่ยงมาก ถ้ากรอไปกรอมาบ่อยๆ แล้วเครื่องเล่นเราไม่ดีพอ
มันก็จะพันกัน พันกันแล้วไง? ...ก็ต้องเอาปากกามาค่อยๆหมุนๆๆ ให้มันกลับเข้าไป
แต่ถ้ามันร้ายแรงกว่านั้น คือ มันขาด! จบกัน! พัง!
ต่อมา เมื่อรักเสียงเพลงเข้าเส้น ก็เริ่มหาทางซื้อวิทยุพกพาอันเล็กๆ
แบบว่า พกไปโรงเรียนได้ ไรงี้ สมัยนั้นก็ซื้อแถวตลาด อันละร้อยกว่าบาท แค่นๆ ฟังไป 555+
จนมีครั้งหนึ่ง เพื่อนซื้อให้เป็นของขวัญปีใหม่ตอนเล่นบัดดี้ ขอบคุณมากนะ แต่ตอนนี้มันพังไปแล้ว 555+
สิ่งที่คลาสสิกอีกอย่างสมัยนั้นก็คือ sound about จ้าาา
มันเล่นเทปได้ แถมฟังวิทยุได้ด้วยนะเออ เจ๋งป่ะล่าาาาา ....แต่มันก็พังไปอีกแล้วเช่นเคย
...แต่ตอนนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไป
เราแทบไม่ทันสังเกตเลยว่า เทปคลาสเซ็ท มันเริ่มหายไปจากร้านเทปที่เราเดินเข้าออกบ่อยๆ เมื่อไหร่
เหลือเพียง CD และ VCD ซึ่ง ณ ตอนนั้น ...เราไม่มีเงินพอจะซื้อหรอก
ต้องรักมากจริงๆ นะ ถึงจะยอมซื้อ
ยิ่งในปัจจุบัน โลกแห่ง MP3 ...Internet ทำให้ทุกอย่างมันดูง่ายไปหมด
จนเราไม่รู้ว่า คนทำเพลง เค้าเอาอะไรกิน
เพลงที่จากเคยเป็นอัลบั้มละ 10 เพลง กลายเป็นค่อยๆ ปล่อยออกมาทีละ single
เพราะคนไม่อุดหนุนของจริง ...สเน่ห์ของเพลง track ใน มันหายไป...
เราเคยอ่านคอลัมน์หนึ่งของดาราคนหนึ่งที่เราเคยเป็นแฟนคลับ (น่าจะพอรู้เนอะว่าใคร 555+)
เค้าบอกว่า เค้าชอบฟังเพลง track ใน เพราะมันมักจะมีสิ่งดี ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนสนใจซ่อนอยู่
เพลงที่เพราะกว่าเพลง track ที่ใช้โปรโมท อาจจะมีอยู่ก็ได้
แต่คนส่วนใหญ่ มักจะรู้จักแต่เพลงที่ค่ายเลือกมาโปรโมท
เหมือนเช่นตอนนี้ เราได้รู้จักเพลงทุกเพลงก่อนจะได้เป็นอัลบั้ม
มันได้ยินได้ฟังมาหมดแล้ว จนเราไม่รู้จะซื้อทำไม...
สิ่งเดียวที่พอจะดึงดูดเราได้ ก็คือ packaging ของ CD
มีบางค่ายที่เค้าจะทำ CD ออกมา 2 แบบ คือ แบบธรรมดา กับแบบสะสม
สะสมยังไง ก็อาจจะมี track พิเศษ หรือ มีของที่ระลึกที่ไม่มีใน CD ธรรมดา
และแน่นอน... มันมาพร้อมราคาที่แพงกว่า
แต่เราโอเคกับมันนะ เห็นถึงความตั้งใจ :)
แล้วมีใครเป็นเหมือนเราไหม
เวลาซื้อ CD เริ่มแรกเลย จะเปิดอ่าน credit ที่ศิลปินเขียนถึงผู้คนที่เกี่ยวข้อง
มันเป็นการให้เกียรตินะ เราว่า
อีกอย่างหนึ่งก็คือ credit ของผู้แต่งคำร้อง ทำนอง และเรียบเรียง
บางครั้ง เราไม่เคยรู้เลยว่า เฮ้ย คนๆ นี้เค้าสามารถทำได้ด้วยเหรอ เฮ้ยเจ๋งว่ะ...
ว่ากันด้วยเรื่องเพลง track ใน กันต่อ
ทุกวันนี้ คนมักจะมองอะไร ฟังอะไร และรับรู้อะไร ตามที่เห็นเพียงภายนอก
เฉกเช่น คนรับสื่อ รับรู้และเชื่อตามข่าวที่สื่อนำเสนอ
เฉกเช่น คนอ่านข่าว ที่อ่านแค่พาดหัวข่าว
เฉกเช่น คนฟังเพลง รู้จักเพลงของศิลปินที่ถูกเลือกมาโปรโมท
เฉกเช่น คนที่มองคนอื่น เพียงแค่มองจากรูปลักษณ์ภายนอก
เราไม่เคยมองอะไรลึกๆ เราไม่เคยคิดว่าข้างในมันจะมีอะไร ทั้งๆ ที่จริงแล้ว มัน "มี"
บางครั้ง สิ่งที่เห็น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็น
ตัวตนของคนบางคนที่คุณรู้จักที่คุณเห็น อาจจะเป็นเพียงสิ่งที่เค้าสร้างขึ้นมาให้คุณเห็นเค้าแบบนั้นก็ได้
ก่อนจะตัดสินอะไร มองให้รอบด้าน
ฟังเพลงของใครคนหนึ่งแล้ว ลองฟังเพลง track ในบ้าง ฟังเพลงหน้า B บ้าง
อย่าฟังแค่เพลงแรกในหน้า A ...ถ้าทำแค่นั้น
ก็หมายความว่า คุณแทบไม่รู้จักอะไรในตัวเขาเลย
แล้วคุณรู้จักเรามากแค่ไหนกัน ;p
"เพลง" สิ่งที่จรรโลงจิตใจ สิ่งที่น่าอัศจรรย์...
ชอบฟังเพลงกันรึเปล่า?
สำหรับเรา... ชอบมากเลยล่ะ
ไม่น่าเชื่อ ว่ามันจะเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ที่เราสามารถเรียกมันว่า "เพื่อน" ได้
วิวัฒนาการของมันมีมานานมาก
แต่เราเกิดทันในยุคเทปคลาสเซ็ท
อยากจะพาไปดูหัวเตียงที่บ้านจริงๆ
สมัยเด็กๆ ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 40 บาท ยังแอบไปซื้อเทปม้วนละ 90-100 บาท ได้
นับว่าเป็นเด็กที่มีความพยายาม และ รักเสียงเพลงมากจริงๆ 555+
ไม่เพียงเท่านั้น... เวลาศิลปินนักร้องมาเยี่ยมร้านเทป
เลิกเรียน ปารัชญ์ก็รีบไปรอดูจ้าาาา ถ้าชอบมากๆ ก็ไปขอลายเซ็นต์ด้วย เจ๋งสุดๆ ฮ่าๆ
สิ่งที่ต้องมีอีกอย่างหนึ่งก็คือ วิทยุ
แล้วถ้าใครเคยฟังเทป จะรู้เลยว่า มันจะมี 2 หน้า คือหน้า A และหน้า B
เวลาฟังก็ต้องฟังเรียงต่อกันไป จะสวิตช์ข้ามแทร็กแต่ละครั้งก็ยาก
ไม่ใช่ยากหรอก แต่มันเสี่ยงมาก ถ้ากรอไปกรอมาบ่อยๆ แล้วเครื่องเล่นเราไม่ดีพอ
มันก็จะพันกัน พันกันแล้วไง? ...ก็ต้องเอาปากกามาค่อยๆหมุนๆๆ ให้มันกลับเข้าไป
แต่ถ้ามันร้ายแรงกว่านั้น คือ มันขาด! จบกัน! พัง!
ต่อมา เมื่อรักเสียงเพลงเข้าเส้น ก็เริ่มหาทางซื้อวิทยุพกพาอันเล็กๆ
แบบว่า พกไปโรงเรียนได้ ไรงี้ สมัยนั้นก็ซื้อแถวตลาด อันละร้อยกว่าบาท แค่นๆ ฟังไป 555+
จนมีครั้งหนึ่ง เพื่อนซื้อให้เป็นของขวัญปีใหม่ตอนเล่นบัดดี้ ขอบคุณมากนะ แต่ตอนนี้มันพังไปแล้ว 555+
สิ่งที่คลาสสิกอีกอย่างสมัยนั้นก็คือ sound about จ้าาา
มันเล่นเทปได้ แถมฟังวิทยุได้ด้วยนะเออ เจ๋งป่ะล่าาาาา ....แต่มันก็พังไปอีกแล้วเช่นเคย
...แต่ตอนนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไป
เราแทบไม่ทันสังเกตเลยว่า เทปคลาสเซ็ท มันเริ่มหายไปจากร้านเทปที่เราเดินเข้าออกบ่อยๆ เมื่อไหร่
เหลือเพียง CD และ VCD ซึ่ง ณ ตอนนั้น ...เราไม่มีเงินพอจะซื้อหรอก
ต้องรักมากจริงๆ นะ ถึงจะยอมซื้อ
ยิ่งในปัจจุบัน โลกแห่ง MP3 ...Internet ทำให้ทุกอย่างมันดูง่ายไปหมด
จนเราไม่รู้ว่า คนทำเพลง เค้าเอาอะไรกิน
เพลงที่จากเคยเป็นอัลบั้มละ 10 เพลง กลายเป็นค่อยๆ ปล่อยออกมาทีละ single
เพราะคนไม่อุดหนุนของจริง ...สเน่ห์ของเพลง track ใน มันหายไป...
เราเคยอ่านคอลัมน์หนึ่งของดาราคนหนึ่งที่เราเคยเป็นแฟนคลับ (น่าจะพอรู้เนอะว่าใคร 555+)
เค้าบอกว่า เค้าชอบฟังเพลง track ใน เพราะมันมักจะมีสิ่งดี ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนสนใจซ่อนอยู่
เพลงที่เพราะกว่าเพลง track ที่ใช้โปรโมท อาจจะมีอยู่ก็ได้
แต่คนส่วนใหญ่ มักจะรู้จักแต่เพลงที่ค่ายเลือกมาโปรโมท
เหมือนเช่นตอนนี้ เราได้รู้จักเพลงทุกเพลงก่อนจะได้เป็นอัลบั้ม
มันได้ยินได้ฟังมาหมดแล้ว จนเราไม่รู้จะซื้อทำไม...
สิ่งเดียวที่พอจะดึงดูดเราได้ ก็คือ packaging ของ CD
มีบางค่ายที่เค้าจะทำ CD ออกมา 2 แบบ คือ แบบธรรมดา กับแบบสะสม
สะสมยังไง ก็อาจจะมี track พิเศษ หรือ มีของที่ระลึกที่ไม่มีใน CD ธรรมดา
และแน่นอน... มันมาพร้อมราคาที่แพงกว่า
แต่เราโอเคกับมันนะ เห็นถึงความตั้งใจ :)
แล้วมีใครเป็นเหมือนเราไหม
เวลาซื้อ CD เริ่มแรกเลย จะเปิดอ่าน credit ที่ศิลปินเขียนถึงผู้คนที่เกี่ยวข้อง
มันเป็นการให้เกียรตินะ เราว่า
อีกอย่างหนึ่งก็คือ credit ของผู้แต่งคำร้อง ทำนอง และเรียบเรียง
บางครั้ง เราไม่เคยรู้เลยว่า เฮ้ย คนๆ นี้เค้าสามารถทำได้ด้วยเหรอ เฮ้ยเจ๋งว่ะ...
ว่ากันด้วยเรื่องเพลง track ใน กันต่อ
ทุกวันนี้ คนมักจะมองอะไร ฟังอะไร และรับรู้อะไร ตามที่เห็นเพียงภายนอก
เฉกเช่น คนรับสื่อ รับรู้และเชื่อตามข่าวที่สื่อนำเสนอ
เฉกเช่น คนอ่านข่าว ที่อ่านแค่พาดหัวข่าว
เฉกเช่น คนฟังเพลง รู้จักเพลงของศิลปินที่ถูกเลือกมาโปรโมท
เฉกเช่น คนที่มองคนอื่น เพียงแค่มองจากรูปลักษณ์ภายนอก
เราไม่เคยมองอะไรลึกๆ เราไม่เคยคิดว่าข้างในมันจะมีอะไร ทั้งๆ ที่จริงแล้ว มัน "มี"
บางครั้ง สิ่งที่เห็น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็น
ตัวตนของคนบางคนที่คุณรู้จักที่คุณเห็น อาจจะเป็นเพียงสิ่งที่เค้าสร้างขึ้นมาให้คุณเห็นเค้าแบบนั้นก็ได้
ก่อนจะตัดสินอะไร มองให้รอบด้าน
ฟังเพลงของใครคนหนึ่งแล้ว ลองฟังเพลง track ในบ้าง ฟังเพลงหน้า B บ้าง
อย่าฟังแค่เพลงแรกในหน้า A ...ถ้าทำแค่นั้น
ก็หมายความว่า คุณแทบไม่รู้จักอะไรในตัวเขาเลย
แล้วคุณรู้จักเรามากแค่ไหนกัน ;p
Saturday, October 5, 2013
ทฤษฎี 4x100
...ห่างหายจากการเขียน blog ไปนานเลย
ดึกดื่นคืนนี้ อารมณ์เปลี่ยว ถือโอกาสดีที่จะได้แชร์ความคิดเห็นกัน :)
ทฤษฎี 4x100 เป็นทฤษฎีของใคร หรือเคยมีคนใช้มาก่อนหรือไม่ เราไม่รู้
แต่สิ่งที่จะกล่าวต่อไปใน blog นี้ เราจะขอทึกทักเอาว่าเราเป็นคนคิดเอง
ไม่สิ... เราแค่ลองมองเปรียบเทียบกับชีวิตตอนนี้ดู ก็เท่านั้นเอง
เราเข้าใจความหมายของ 4x100 กันมากแค่ไหน?
แน่นอน มันเป็นระยะทางการวิ่งผลัดประเภทหนึ่ง
อ้อ... ก่อนจะไปไกล เรามีเรื่องจะโม้ ว่าเราเคยเป็นนักวิ่งด้วยนะ
นักวิ่งของโรงเรียนเลยล่ะ อย่าดูถูกคนเตี้ยม่อต้อขาสั้นคนนี้โดยเด็ดขาด
ปารัชญ์ ไม่ธรรมดานะ จะบอกให้ 555+
สืบเนื่องจากการเคยเป็นนักวิ่งสมัยเด็ก ๆ
ทำให้เราเข้าใจอะไรๆ ได้มากขึ้น เมื่อเราได้มาใช้ชีวิตในแบบผู้ใหญ่
การวิ่ง 4x100 ก็คือการวิ่งที่มีนักกีฬา 4 คน วิ่งผลัดส่งไม้ต่อกันเป็นระยะทางรวม 400 เมตร
400 เมตรก็เท่ากับ 1 รอบสนามฟุตบอลพอดี
แต่ละลู่วิ่งนั้น ก็จะมีจุดสตาร์ทที่ต่างกัน
- คนที่อยู่ลู่ในสุด ก็จะได้สตาร์ทในจุดที่ดูเหมือนจะรั้งท้ายสุด
- คนที่อยู่ลู่นอกสุด ก็จะได้สตาร์ทในจุดที่ดูเหมือนจะใกล้ที่สุด
แต่จริงๆ แล้ว ทุกอย่างถูกออกแบบมาตามความเหมาะสม
และคำนึงถึงความได้เปรียบเสียเปรียบแล้ว มันก็แค่ดูเหมือนจะเร็ว ดูเหมือนจะนำ แต่จริงๆ ไม่ใช่...
โดยส่วนตัว ชอบอยู่ลู่วิ่งกลางๆ คือ ลู่ที่ 4-5 มากกว่า
เท่าที่จำความได้ เรามักจะถูกเลือกให้อยู่ในตำแหน่งไม้ 1 หรือ ไม้ 4 บ่อยๆ
ถามว่า... แต่ละตำแหน่งมีความสำคัญต่างกันมั้ย
ตอบได้เลยว่า สำคัญทุกตำแหน่ง สำหรับการทำงานเป็นทีม
แต่ตอนนั้น ต้องยอมรับเลยว่า ออกจะภูมิใจอยู่มากเลยทีเดียว
เพราะหลงคิดไปว่า...
การที่เราอยู่ไม้ 1 นั่นหมายความว่า เราดีพอที่จะนำคนอื่นตั้งแต่เริ่มแรก
การที่เราได้อยู่ไม้สุดท้าย ผู้ที่จะเป็นคนตัดสินว่า เราจะชนะหรือไม่
หมายความว่า ถ้าเพื่อนทำมาไม่ดี หน้าที่ของเรา คือวิ่งแซงคนอื่นเข้าเส้นชัยให้ได้
และในอีกแง่หนึ่ง หากเพื่อน 3 คน วิ่งนำคนอื่นได้มาก ภาระของเราก็จะลดน้อยลง
แล้วไม้ 2 และไม้ 3 ล่ะ ...ไม่สำคัญเหรอ?
ณ ตอนนั้น เราไม่รู้จริงๆ เพราะเราไม่เคยสัมผัสกับตำแหน่งนั้น
รู้แต่ว่า ถ้าได้อยู่ไม้ 1 ก็ได้ใช่แท่นสตาร์ทที่อีก 3 คนไม่ได้ใช้
ถ้าได้อยู่ไม้ 4 ก็จะได้ดีใจถ้าวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก
แต่ตอนนี้เราเริ่มเห็นความสำคัญของพวกเขาแล้วล่ะ
การรับส่งไม้ เป็นอีก 1 ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการแพ้ชนะของทีมได้เลย
หลายๆ ทีม มุ่งมั่นในการซ้อมรับส่งไม้อย่างหนัก
รับส่งไม้ยังไงไม่ให้ฟาล์ว รับส่งไม้ยังไงไม่ให้ไม้ตก รับส่งไม้ยังไงให้ใช้เวลาน้อยที่สุด
พอจะมองภาพของทีมนักวิ่ง 4x100 ชัดเจนขึ้นไหม?
ภาพตัดกลับมาในชีวิตการเรียนและการทำงาน
ทุกวันนี้เราต้องทำงานร่วมกับคนอื่นไหม?
เราได้รับความร่วมมือ หรือให้ความร่วมมือกับคนอื่นๆ เต็มที่แล้วหรือยัง?
เรามองเห็นเป้าหมาย เรามองเห็นเส้นชัยเหมือนกันหรือเปล่า?
หากเป้าหมายของคนในทีม คือ เส้นชัย คือ ชัยชนะ
แต่สำหรับบางคน กลับไม่ใช่ ...เขาไม่มีเป้าหมาย หรือเขาไม่เห็นความสำคัญของการทำตามเป้าหมาย?
เราก็มิอาจทราบได้ แต่สิ่งสำคัญคือ การขาดความสามัคคี ทีมอาจจะไม่ล่ม
แต่มันก็ไม่ดีอย่างที่มันควรจะเป็น...
ตัดภาพกลับไปที่สนามวิ่ง 4x100
ไม้ 1 เป็นผู้เล่นที่มีความเร็วเป็นอันดับ 2 ในทีม ได้รับความไว้วางใจให้ทำความเร็วในช่วงแรก
ส่งต่อให้ไม้ 2 ซึ่งมีความแม่นยำในการรับส่งไม้ แต่ฝีเท้าไม่เร็วนัก
ส่งต่อให้ไม้ 3 ซึ่งถูกทีมอื่นแซงไปเยอะแล้ว และถอดใจคิดว่ายังไงก็แพ้ ค่อยๆ วิ่งไปเรื่อยๆ
ส่งต่อให้ไม้สุดท้าย... ทันใดนั้น ไม้ตก! แต่โชคดี ไม่ถึงกับฟาล์ว เก็บไม้มาส่งต่อได้
คำถามคือ... สภาพทีมที่เป็นแบบนี้ ไม้ 4 ที่ perfect ที่สุดใน 3 โลก จะแบกรับภาระนั้นไหวไหม?
เทียบกับทีมอื่นๆ ที่มีความสามัคคีกัน ทำในส่วนของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ถอดใจ
คำตอบก็คือ... ต่อให้เราจะติด 1 ใน 3 จากการสปีดของไม้สุดท้าย เราก็พูดคำว่าชนะได้ไม่เต็มปาก
สิ่งที่เราพยายามจะบอกก็คือ
ความผิดพลาดบางอย่าง อาจจะเกิดจากความมุ่งมั่นที่เรามีไม่เท่ากัน หรือ เป้าหมายที่ต่างกัน
แต่เมื่อเรามาอยู่ในทีมเดียวกัน การไม่ปล่อยให้คนใดคนหนึ่งต้องแบกรับภาระหนัก เป็นสิ่งที่เราควรทำ
...ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
เฉกเช่น ในชีวิตการเรียน หรือแม้กระทั่งการทำงาน
บางครั้งการนิ่งเฉยเสมือนหนึ่งคุณเป็นตัวสำรอง คอยรับเหรียญพร้อมทีม โดยไม่ช่วยอะไรเลย
ไม่แม้แต่จะให้กำลังใจ หรือยื่นน้ำให้เมื่อเพื่อนเหนื่อย ...เชื่อเถอะ ว่าเพื่อนคุณเจ็บมาก
อย่าคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ
อย่าคิดว่าเพียงแค่ไม้ 4 ไม้เดียว จะแซงคนอื่นที่วิ่งสะสมมาเกือบรอบสนามได้
อยากให้ลองเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่
ที่เราไม่ทำ เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องมีคนทำ อย่างนั้นเหรอ?
ที่เราไม่เคยถาม เพราะคิดว่ายังไง คนที่ทำมันก็ต้องทำให้เสร็จอยู่ดี อย่างนั้นเหรอ?
เมื่อร่วมทีมกันแล้ว... อย่าทิ้งเพื่อน อย่าเอาภาระไปให้เพื่อนแบกอยู่ฝ่ายเดียว
ภาระ มันจะสบายขึ้น เมื่อทุกคนช่วยกันแบ่งเบา ...เชื่อเรานะ
สิ่งเดียวที่อยากจะขอ... อย่าไปทำแบบนี้กับใครอีก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะให้ทุกๆ คนที่ผ่านเข้ามา มาทำกับเราแบบนี้ทุกคนไป
บางทีมันก็เหนื่อย เหนื่อยมากๆ กับสิ่งที่ต้องคอยแบก แบกโดยไม่มีใครแบ่ง ให้มันเบา...
ในสนามวิ่งตอนนั้น
กีฬาสี ส่วนใหญ่เราก็ได้ที่ 1 เหรียญทองเต็มบ้าน
จนได้เป็นตัวแทนไปแข่งกีฬาจังหวัดอยู่ปีนึง ผลเป็นไงรู้ไหม?
ถ้าวิ่งคนเดียว 100 เมตร เข้าเป็นอันดับรองสุดท้าย
ถ้าวิ่งผลัด 4x100 เมตร ...เข้าเป็นอันดับสุดท้าย
...เห็นไหมว่า ต่อให้เราคิดว่าเราเก่ง เราดีแล้ว ก็ยังมีคนที่เก่งกว่าเรา ทำได้ดีกว่าเรา
ถ้าไม่พยายาม แล้วจะไปสู้คนอื่นเขาได้ยังไง
...สุดท้าย ปารัชญ์ก็จบชีวิตการเป็นนักวิ่ง ด้วยการถูกตัดออกจากทีม
เพราะ "เป็นไข้หวัดใหญ่" จนขาดซ้อมไป 3 วัน
บางครั้ง โชคชะตาก็เล่นตลกกับเรานะ
ทั้งๆ ที่เรามีโอกาสจะแก้ตัว ทั้งๆ ที่เราพยายามเต็มที่แล้ว
มันก็อาจจะไม่เป็นอย่างที่เราหวังได้ทุกอย่าง...
ถึงตอนนี้ เป็นไปได้ไหม... ที่เราจะเป็นหนึ่งในทีมวิ่ง 4x100 ที่ดีที่สุดที่จะเข้าเส้นชัยเป็นลำดับแรก
ทั้งในสนาม และ "ในชีวิตจริง"
06/09/2013 "ปารัชญ์"
ดึกดื่นคืนนี้ อารมณ์เปลี่ยว ถือโอกาสดีที่จะได้แชร์ความคิดเห็นกัน :)
ทฤษฎี 4x100 เป็นทฤษฎีของใคร หรือเคยมีคนใช้มาก่อนหรือไม่ เราไม่รู้
แต่สิ่งที่จะกล่าวต่อไปใน blog นี้ เราจะขอทึกทักเอาว่าเราเป็นคนคิดเอง
ไม่สิ... เราแค่ลองมองเปรียบเทียบกับชีวิตตอนนี้ดู ก็เท่านั้นเอง
เราเข้าใจความหมายของ 4x100 กันมากแค่ไหน?
แน่นอน มันเป็นระยะทางการวิ่งผลัดประเภทหนึ่ง
อ้อ... ก่อนจะไปไกล เรามีเรื่องจะโม้ ว่าเราเคยเป็นนักวิ่งด้วยนะ
นักวิ่งของโรงเรียนเลยล่ะ อย่าดูถูกคนเตี้ยม่อต้อขาสั้นคนนี้โดยเด็ดขาด
ปารัชญ์ ไม่ธรรมดานะ จะบอกให้ 555+
สืบเนื่องจากการเคยเป็นนักวิ่งสมัยเด็ก ๆ
ทำให้เราเข้าใจอะไรๆ ได้มากขึ้น เมื่อเราได้มาใช้ชีวิตในแบบผู้ใหญ่
การวิ่ง 4x100 ก็คือการวิ่งที่มีนักกีฬา 4 คน วิ่งผลัดส่งไม้ต่อกันเป็นระยะทางรวม 400 เมตร
400 เมตรก็เท่ากับ 1 รอบสนามฟุตบอลพอดี
แต่ละลู่วิ่งนั้น ก็จะมีจุดสตาร์ทที่ต่างกัน
- คนที่อยู่ลู่ในสุด ก็จะได้สตาร์ทในจุดที่ดูเหมือนจะรั้งท้ายสุด
- คนที่อยู่ลู่นอกสุด ก็จะได้สตาร์ทในจุดที่ดูเหมือนจะใกล้ที่สุด
แต่จริงๆ แล้ว ทุกอย่างถูกออกแบบมาตามความเหมาะสม
และคำนึงถึงความได้เปรียบเสียเปรียบแล้ว มันก็แค่ดูเหมือนจะเร็ว ดูเหมือนจะนำ แต่จริงๆ ไม่ใช่...
โดยส่วนตัว ชอบอยู่ลู่วิ่งกลางๆ คือ ลู่ที่ 4-5 มากกว่า
เท่าที่จำความได้ เรามักจะถูกเลือกให้อยู่ในตำแหน่งไม้ 1 หรือ ไม้ 4 บ่อยๆ
ถามว่า... แต่ละตำแหน่งมีความสำคัญต่างกันมั้ย
ตอบได้เลยว่า สำคัญทุกตำแหน่ง สำหรับการทำงานเป็นทีม
แต่ตอนนั้น ต้องยอมรับเลยว่า ออกจะภูมิใจอยู่มากเลยทีเดียว
เพราะหลงคิดไปว่า...
การที่เราอยู่ไม้ 1 นั่นหมายความว่า เราดีพอที่จะนำคนอื่นตั้งแต่เริ่มแรก
การที่เราได้อยู่ไม้สุดท้าย ผู้ที่จะเป็นคนตัดสินว่า เราจะชนะหรือไม่
หมายความว่า ถ้าเพื่อนทำมาไม่ดี หน้าที่ของเรา คือวิ่งแซงคนอื่นเข้าเส้นชัยให้ได้
และในอีกแง่หนึ่ง หากเพื่อน 3 คน วิ่งนำคนอื่นได้มาก ภาระของเราก็จะลดน้อยลง
แล้วไม้ 2 และไม้ 3 ล่ะ ...ไม่สำคัญเหรอ?
ณ ตอนนั้น เราไม่รู้จริงๆ เพราะเราไม่เคยสัมผัสกับตำแหน่งนั้น
รู้แต่ว่า ถ้าได้อยู่ไม้ 1 ก็ได้ใช่แท่นสตาร์ทที่อีก 3 คนไม่ได้ใช้
ถ้าได้อยู่ไม้ 4 ก็จะได้ดีใจถ้าวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก
แต่ตอนนี้เราเริ่มเห็นความสำคัญของพวกเขาแล้วล่ะ
การรับส่งไม้ เป็นอีก 1 ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อการแพ้ชนะของทีมได้เลย
หลายๆ ทีม มุ่งมั่นในการซ้อมรับส่งไม้อย่างหนัก
รับส่งไม้ยังไงไม่ให้ฟาล์ว รับส่งไม้ยังไงไม่ให้ไม้ตก รับส่งไม้ยังไงให้ใช้เวลาน้อยที่สุด
พอจะมองภาพของทีมนักวิ่ง 4x100 ชัดเจนขึ้นไหม?
ภาพตัดกลับมาในชีวิตการเรียนและการทำงาน
ทุกวันนี้เราต้องทำงานร่วมกับคนอื่นไหม?
เราได้รับความร่วมมือ หรือให้ความร่วมมือกับคนอื่นๆ เต็มที่แล้วหรือยัง?
เรามองเห็นเป้าหมาย เรามองเห็นเส้นชัยเหมือนกันหรือเปล่า?
หากเป้าหมายของคนในทีม คือ เส้นชัย คือ ชัยชนะ
แต่สำหรับบางคน กลับไม่ใช่ ...เขาไม่มีเป้าหมาย หรือเขาไม่เห็นความสำคัญของการทำตามเป้าหมาย?
เราก็มิอาจทราบได้ แต่สิ่งสำคัญคือ การขาดความสามัคคี ทีมอาจจะไม่ล่ม
แต่มันก็ไม่ดีอย่างที่มันควรจะเป็น...
ตัดภาพกลับไปที่สนามวิ่ง 4x100
ไม้ 1 เป็นผู้เล่นที่มีความเร็วเป็นอันดับ 2 ในทีม ได้รับความไว้วางใจให้ทำความเร็วในช่วงแรก
ส่งต่อให้ไม้ 2 ซึ่งมีความแม่นยำในการรับส่งไม้ แต่ฝีเท้าไม่เร็วนัก
ส่งต่อให้ไม้ 3 ซึ่งถูกทีมอื่นแซงไปเยอะแล้ว และถอดใจคิดว่ายังไงก็แพ้ ค่อยๆ วิ่งไปเรื่อยๆ
ส่งต่อให้ไม้สุดท้าย... ทันใดนั้น ไม้ตก! แต่โชคดี ไม่ถึงกับฟาล์ว เก็บไม้มาส่งต่อได้
คำถามคือ... สภาพทีมที่เป็นแบบนี้ ไม้ 4 ที่ perfect ที่สุดใน 3 โลก จะแบกรับภาระนั้นไหวไหม?
เทียบกับทีมอื่นๆ ที่มีความสามัคคีกัน ทำในส่วนของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ถอดใจ
คำตอบก็คือ... ต่อให้เราจะติด 1 ใน 3 จากการสปีดของไม้สุดท้าย เราก็พูดคำว่าชนะได้ไม่เต็มปาก
สิ่งที่เราพยายามจะบอกก็คือ
ความผิดพลาดบางอย่าง อาจจะเกิดจากความมุ่งมั่นที่เรามีไม่เท่ากัน หรือ เป้าหมายที่ต่างกัน
แต่เมื่อเรามาอยู่ในทีมเดียวกัน การไม่ปล่อยให้คนใดคนหนึ่งต้องแบกรับภาระหนัก เป็นสิ่งที่เราควรทำ
...ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
เฉกเช่น ในชีวิตการเรียน หรือแม้กระทั่งการทำงาน
บางครั้งการนิ่งเฉยเสมือนหนึ่งคุณเป็นตัวสำรอง คอยรับเหรียญพร้อมทีม โดยไม่ช่วยอะไรเลย
ไม่แม้แต่จะให้กำลังใจ หรือยื่นน้ำให้เมื่อเพื่อนเหนื่อย ...เชื่อเถอะ ว่าเพื่อนคุณเจ็บมาก
อย่าคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ
อย่าคิดว่าเพียงแค่ไม้ 4 ไม้เดียว จะแซงคนอื่นที่วิ่งสะสมมาเกือบรอบสนามได้
อยากให้ลองเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่
ที่เราไม่ทำ เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องมีคนทำ อย่างนั้นเหรอ?
ที่เราไม่เคยถาม เพราะคิดว่ายังไง คนที่ทำมันก็ต้องทำให้เสร็จอยู่ดี อย่างนั้นเหรอ?
เมื่อร่วมทีมกันแล้ว... อย่าทิ้งเพื่อน อย่าเอาภาระไปให้เพื่อนแบกอยู่ฝ่ายเดียว
ภาระ มันจะสบายขึ้น เมื่อทุกคนช่วยกันแบ่งเบา ...เชื่อเรานะ
สิ่งเดียวที่อยากจะขอ... อย่าไปทำแบบนี้กับใครอีก
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะให้ทุกๆ คนที่ผ่านเข้ามา มาทำกับเราแบบนี้ทุกคนไป
บางทีมันก็เหนื่อย เหนื่อยมากๆ กับสิ่งที่ต้องคอยแบก แบกโดยไม่มีใครแบ่ง ให้มันเบา...
ในสนามวิ่งตอนนั้น
กีฬาสี ส่วนใหญ่เราก็ได้ที่ 1 เหรียญทองเต็มบ้าน
จนได้เป็นตัวแทนไปแข่งกีฬาจังหวัดอยู่ปีนึง ผลเป็นไงรู้ไหม?
ถ้าวิ่งคนเดียว 100 เมตร เข้าเป็นอันดับรองสุดท้าย
ถ้าวิ่งผลัด 4x100 เมตร ...เข้าเป็นอันดับสุดท้าย
...เห็นไหมว่า ต่อให้เราคิดว่าเราเก่ง เราดีแล้ว ก็ยังมีคนที่เก่งกว่าเรา ทำได้ดีกว่าเรา
ถ้าไม่พยายาม แล้วจะไปสู้คนอื่นเขาได้ยังไง
...สุดท้าย ปารัชญ์ก็จบชีวิตการเป็นนักวิ่ง ด้วยการถูกตัดออกจากทีม
เพราะ "เป็นไข้หวัดใหญ่" จนขาดซ้อมไป 3 วัน
บางครั้ง โชคชะตาก็เล่นตลกกับเรานะ
ทั้งๆ ที่เรามีโอกาสจะแก้ตัว ทั้งๆ ที่เราพยายามเต็มที่แล้ว
มันก็อาจจะไม่เป็นอย่างที่เราหวังได้ทุกอย่าง...
ถึงตอนนี้ เป็นไปได้ไหม... ที่เราจะเป็นหนึ่งในทีมวิ่ง 4x100 ที่ดีที่สุดที่จะเข้าเส้นชัยเป็นลำดับแรก
ทั้งในสนาม และ "ในชีวิตจริง"
06/09/2013 "ปารัชญ์"
Friday, March 29, 2013
เห็นที
เห็นทีจะต้องเอามือถือวางไว้ไกลๆ ตัว เวลานอน
เห็นทีจะต้องห่างมือถือไว้บ้าง
เห็นทีจะอยู่กับสภาพที่จิตไม่ยอมหยุดคิดไม่ไหว
เห็นมันไม่ได้... จะต้องหยิบขึ้นมาถูๆไถๆ ได้ตลอดสิน่า
หมู่นี้นอนไม่หลับมาหลายคืน
ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เที่ยงคืนก็โดดขึ้นเตียง นอนเล่นเกม เล่นเกมเสร็จไม่หลับ ก็ฟังเพลงไปเรื่อย
แล้วก็กลายเป็นตื่นเช้าไม่ไหว
...นี่ใช่ไหม ชีวิตสบายๆ ที่เคยคาดหวัง
...สบายไปไหม
...สบายแบบนี้นานๆ ก็ไม่ไหวเนอะ
คนชอบบอกว่าเราสบาย ไม่ต้องทำอะไร
แต่จะรู้ไหม ภายใต้ความสบายนั้น มันไม่ได้สบายอย่างที่คิดหรอก
เหลวไหลใหญ่แล้ว จะสอบแล้วหนังสือก็ไม่อ่าน
ทั้งๆ ที่มีเวลาเยอะกว่าคนอื่นเขา
ก็เป็นเสียอย่างนี้ทุกที สอบแบบตามมีตามเกิดทุกที
ก็ทำแบบนี้ทีไร ผลลัพธ์มันก็ไม่เคยแย่
มันก็เลยติดนิสัย ทำแบบนี้อยู่ร่ำไป
เบื่อตัวเอง...
เรามีอะไรจะเล่าให้ฟัง ฟังเราหน่อยนะ
ไม่ค่อยมีใครอยากจะฟังเราซักเท่าไหร่เลย เขายุ่ง
วันนี้ไปสัมภาษณ์งานมา แถวๆ บางนา ตึกเนชั่น
เหมือนเค้าจะโอเค โอเคกับเรา 80 %
ถ้าได้ก็คงดีสินะ ไปมาจนเหนื่อยแล้ว
อดทนอีกนิดเดียวนะเล็ก
เปลี่ยนบรรยากาศนั่งรถไปทางนี้บ้างก็ดีนะ
ถ้ารถไม่ติดก็คงไปทัน... มั้ง
ส่วนเรื่องเรียน ก็อดทนอีกนิดเดียวนะ
งานเยอะเป็นบ้า แกก็ขยันดองไว้เสียจริงๆ
สมน้ำหน้าแล้วล่ะ
เมื่อวานไปดูหนังเรื่อง พี่มาก..พระโขนง มา
สนุกมาก มาก มาก กระแสดี หนังดี ไม่สปอยล์
เอาเป็นว่าไปดูเองดีกว่าเนอะ :)
จบการบ่นแต่เพียงเท่านี้
บายยยยยย
เห็นทีจะต้องห่างมือถือไว้บ้าง
เห็นทีจะอยู่กับสภาพที่จิตไม่ยอมหยุดคิดไม่ไหว
เห็นมันไม่ได้... จะต้องหยิบขึ้นมาถูๆไถๆ ได้ตลอดสิน่า
หมู่นี้นอนไม่หลับมาหลายคืน
ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เที่ยงคืนก็โดดขึ้นเตียง นอนเล่นเกม เล่นเกมเสร็จไม่หลับ ก็ฟังเพลงไปเรื่อย
แล้วก็กลายเป็นตื่นเช้าไม่ไหว
...นี่ใช่ไหม ชีวิตสบายๆ ที่เคยคาดหวัง
...สบายไปไหม
...สบายแบบนี้นานๆ ก็ไม่ไหวเนอะ
คนชอบบอกว่าเราสบาย ไม่ต้องทำอะไร
แต่จะรู้ไหม ภายใต้ความสบายนั้น มันไม่ได้สบายอย่างที่คิดหรอก
เหลวไหลใหญ่แล้ว จะสอบแล้วหนังสือก็ไม่อ่าน
ทั้งๆ ที่มีเวลาเยอะกว่าคนอื่นเขา
ก็เป็นเสียอย่างนี้ทุกที สอบแบบตามมีตามเกิดทุกที
ก็ทำแบบนี้ทีไร ผลลัพธ์มันก็ไม่เคยแย่
มันก็เลยติดนิสัย ทำแบบนี้อยู่ร่ำไป
เบื่อตัวเอง...
เรามีอะไรจะเล่าให้ฟัง ฟังเราหน่อยนะ
ไม่ค่อยมีใครอยากจะฟังเราซักเท่าไหร่เลย เขายุ่ง
วันนี้ไปสัมภาษณ์งานมา แถวๆ บางนา ตึกเนชั่น
เหมือนเค้าจะโอเค โอเคกับเรา 80 %
ถ้าได้ก็คงดีสินะ ไปมาจนเหนื่อยแล้ว
อดทนอีกนิดเดียวนะเล็ก
เปลี่ยนบรรยากาศนั่งรถไปทางนี้บ้างก็ดีนะ
ถ้ารถไม่ติดก็คงไปทัน... มั้ง
ส่วนเรื่องเรียน ก็อดทนอีกนิดเดียวนะ
งานเยอะเป็นบ้า แกก็ขยันดองไว้เสียจริงๆ
สมน้ำหน้าแล้วล่ะ
เมื่อวานไปดูหนังเรื่อง พี่มาก..พระโขนง มา
สนุกมาก มาก มาก กระแสดี หนังดี ไม่สปอยล์
เอาเป็นว่าไปดูเองดีกว่าเนอะ :)
จบการบ่นแต่เพียงเท่านี้
บายยยยยย
Friday, January 4, 2013
ที่นี่ประเทศไทย
....ขอนิ่งไว้อาลัยก่อนเขียน blog นี้ซัก 3 วิ
1
2
3
...เป็นแค่คนๆหนึ่ง เป็นคนธรรมดา ที่ชอบดูละครหลังข่าว
ไม่ใช่คนที่ทำประโยชน์อะไรมากมายให้กับบ้านเมือง
แค่ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ละครไม่มีตอนจบ
ละคร "เหนือเมฆ2" โดนระงับไม่ให้ออกอากาศ ด้วยเหตุผลว่า "ไม่เหมาะสม"
ผ่านไป 1 คืน ก็ยังไม่มีผู้ที่เกี่ยวข้อง ออกมาบอกว่า "ไม่เหมาะสม" อย่างไร
อยากรู้จริงๆ นะ บอกหน่อยเถอะ
ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
แรกๆ ก็คิดว่าคงเป็นเพราะอดดูหมาก ปริญ รึเปล่า
แต่คิดไปคิดมา แค่ไม่ได้ดูผู้ชาย มันไม่น่าฟูมฟาย โวยวาย ทุรนทุราย ขนาดนี้
คนที่ไม่เคยดู ไม่ดูละคร คงหาว่าพวกที่มีอาการแบบนี้ จะอะไรนักหนา เว่อร์ไปรึเปล่า
...แต่ไม่ใช่หรอก เราว่าเราไม่ได้เว่อร์ แต่มันเป็นเรื่องใหญ่ในสังคมเราจริงๆ
ถึงแม้ว่าจะเป็นช่องฟรีทีวี เราดูได้ฟรีๆ แต่คุณเล่นมาหลอกให้เสียวแล้วก็เลี้ยวกลับ
...มันไม่แฟร์นะคะ
ขอพูดในฐานะประชาชนคนหนึ่ง
ที่ไม่ได้เลือกข้างใดข้างหนึ่งจริงๆ
สมัยทักษิณเป็นนายก ก็ชอบเค้านะ เค้าก็ทำอะไรให้ประเทศเราเยอะ
แต่ก็เอาอะไรจากประเทศเราไปเยอะเหมือนกัน
...มันเป็นเรื่องปกติ ของคนที่มีอำนาจในมือ
สมัยประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เค้าก็ทำอะไรให้ประเทศเราเยอะ
แต่ก็เอาอะไรจากประเทศเราไปเยอะเหมือนกัน
...ต่างกันตรงที่ฝ่ายหลัง ภาพลักษณ์ในเรื่องการทุจริต แย่น้อยกว่า
...เราเชื่อเสมอว่าโลกไม่สวย เราเชื่อเสมอว่า คนที่เล่นการเมือง "ไม่มีใครดีจริง"
แต่เขาก็เสียสละเข้ามาทำเพื่อประเทศชาติ ถ้าหากเขาจะทำเพื่อตัวเองให้น้อยลง ก็คงจะดี...
...ต่างกับหลายๆ คน ที่มีดีแต่ปาก สักแต่พูด ด่าคนโน้นคนนี้ไปทั่ว
แต่ไม่ทำอะไรเลย คำพูดไม่ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น (เราก็กำลังด่าตัวเองอยู่เหมือนกัน)
เกริ่นมาทั้งหมด เพื่อจะบอกว่า เราพยายามแล้วที่จะไม่ใส่อคติลงไป
เราไม่ใช่แดง เราไม่ใช่เหลือง (ไม่บังคับให้เชื่อนะ แล้วแต่ละกัน)
ว่ากันด้วยเรื่อง "เหนือเมฆ2" ...ทำไมถึงดูละครเรื่องนี้
...ตอนแรกก็ดูเพราะไม่มีอะไรดู แต่ความสนุกของละคร
ทำให้ต้องดูอย่างไม่ให้คลาดสายตา ถ้าพลาดก็จะดูต่อไม่รู้เรื่อง แล้วก็กลายเป็นติด
ติดอะไร ติดหมาก ติดหมวดแสงกล้า ที่หล่อ หล่อจริงจังเลยล่ะ
...ให้เล่าจริงจังก็คงเล่าได้ไม่หมด จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับประเทศๆ หนึ่ง มีนายกรัฐมนตรีที่โคตรดี (แสดงโดยตู่ นพพล)
เป็นนายกฯ ในอุดมคติ ทำทุกอย่างเพื่อประชาชน
มีสตรีหมายเลขหนึ่งที่โคตรเก่ง บู๊มาก เคยเป็นตำรวจมาก่อน (นก สินจัย)
คอยสนับสนุน และปกป้องสามีตลอด ยึดมั่นในความดี
มีตัวร้ายเป็นรัฐมนตรีคนหนึ่ง (ดอม เหตระกูล) ที่เล่นไสยศาสตร์
ใช้อำนาจมืด บีบบังคับคนในคณะรัฐมนตรี ให้ทำตามความต้องการของตน
เพื่อผลประโยชน์ของธุรกิจของตน ซึ่งทำร่วมกับแม่ของนางเอก แพรไพลิน (มิ้นท์ ชาลิดา)
แสดงโดย ต่าย เพ็ญพักตร์ และตัวร้ายที่สุดของเรื่องก็คือ นก ฉัตรชัย (จำชื่อตัวละครไม่ได้)
ซึ่งสามารถทำได้ทุกอย่าง ใช้ไสยศาสตร์ให้ตัวละครที่มีจิตไม่นิ่ง ทำตามความต้องการของตัวเองได้หมด
อีกคนหนึ่งก็คือ ผบ.รวิ (พิมพ์ ซอนย่า) เป็นตำรวจ ที่คอยช่วยเหลือนก ฉัตรชัย ชัดๆก็ตำรวจเลวน่ะ
อีกหนึ่งภาคคนดีก็คือ จ่าสมิง (อ๊อฟ พงพัฒน์) เป็นจ่าที่เพี้ยนๆ
แต่เป็นตัวพิทักษ์ความดี รู้ทันและเอาชนะไสยดำได้ทุกอย่าง (ยังไม่เคยเห็นพลาดพลั้งนะ เจ๋งจริง)
และอีกคนคือ หมวดแสงกล้า (หมาก ปริญ) ผู้หมวดสุดหล่อ
ที่ไม่รู้ชาติกำเนิดของตัวเอง จนมาเจอจ่าสมิงนี่แหละ
ที่บอกว่าตัวเองจะเป็นฮีโร่ ปราบนก ฉัตรชัยได้
เรื่องเนื้อเรื่องถึงตอนที่ได้ดู ...หมวดแสงกล้า ยังไม่ได้เริ่มปราบเลย อดๆๆ
อีก 2 ตัวละครก็คือ นักข่าวสาว (อายส์ กมลเนตร) ขวัญใจเรา
เป็นนักข่าวที่พิทักษ์ความดีเหมือนกัน แต่แอบชอบหมวดแสงกล้า ทำให้เราไม่ปลื้ม
และเลขานายกฯ (ดาราใหม่) ซึ่งเป็นแฟนเก่าของแพรไพลิน เป็นคนดีนะ
อ้อ... ตอนนี้ แพรไพลินเป็นคู่หมั้นของรัฐมนตรีคนนั้น ซึ่งเป็นคนไม่ดี แต่โดนแม่บังคับ
พระนาง คือ หมาก-มิ้นท์ น่ารักมากกกกก ขอบอก
ตัวร้ายในเรื่อง (ดอม เหตระกูล) พยายามกำจัดนายกฯ
เพราะขัดขวางโครงการต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง
- ความพยายามครั้งแรก เข้าสิงนางเอกให้ขโมยเพชร แต่จ่าสมิงก็ทำให้พระเอกช่วยนางเอกจนได้
- ความพยายามครั้งที่ 2 เข้าสิงเลขานายกฯ และยิงนายกฯ จนเป็นเจ้าชายนิทรา
ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ ก็เลยแต่งตั้งตัวเองปฏิบัติราชการแทน
อนุมัติโครงการ 4 โครงการภายในวันแรกวันเดียวที่เข้ารับตำแหน่ง (เลวได้ใจ)
- ในวันให้สัมภาษณ์นักข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีนักข่าวที่ดันโพล่งถามออกไป
ว่าโครงการที่อนุมัติไปนั้น เป็นการเอื้อประโยชน์กับธุรกิจหรือไม่
ผลก็คือ... นักข่าวทุกคนที่ถาม ...ตายหมด หลังจากจบการสัมภาษณ์ ด้วยอำนาจของไสยดำ
คนร้ายก็ร้ายใจหาย คนดีก็ดีใจหาย...
หากการสะท้อนมุมมองของสังคมผ่านละคร ไม่สามารถทำได้ในประเทศนี้ ก็แย่เกินไปนะ...
เรื่องนี้สอนอะไรเรา
-- นายกรัฐมนตรีในอุดมคติ เราเชื่อว่าทุกคนฝันว่าอยากมีนายกฯ แบบนี้
คำพูดหนึ่งที่ เมฆา พูดก็คือ "ถ้ายังไม่รู้จักคำว่าคน ความดี ศีลธรรม อย่าเล่นการเมือง เพราะมันจะทำให้สภาสกปรก ประเทศชาติล่มจม" >>> คำพูดแดกดัน อาจกระทบจิตใจใครหลายๆ คน ที่ไม่รู้จักคำว่าคน ความดี ศีลธรรม แล้วกำลังเล่นการเมือง ทำสภาสกปรก นำพาประเทศชาติให้ล่มจม
-- เรื่องนี้ ไสยดำจะสามารถเข้ามามีอำนาจเหนือจิตใจเราได้ ก็เฉพาะคนที่จิตไม่นิ่งเท่านั้น นั่นก็หมายความว่า ถ้าเราตั้งมั่นในความดี สิ่งชั่วร้ายแค่ไหนก็ทำอะไรเราไม่ได้ คือ...มันต้องละอายเกรงกลัวต่อบาป ละครมันสอนคน กระตุ้นให้เราศรัทธาในความดี เหมือนเช่น นก สินจัย เป็นคนที่ศรัทธาในความดี อำนาจชั่วก็เลยทำอะไรไม่ได้ >>> ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ดูแล้วก็แบบ...เฮ้ย ถ้าทำดีแล้วสิ่งชั่วร้ายมันจะทำอะไรเราไม่ได้จริงๆ ก็น่าทำเว้ย ความดีน่ะ
-- ในละคร จะเห็นได้ว่า คนไม่ดีมีอยู่ในทุกวงการ ทั้งในวงการธุรกิจ การเมือง และวงการตำรวจ คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หาผลประโยชน์ส่วนตนตลอด แต่ท้ายที่สุดแล้ว ตัวละครเหล่านี้ ก็ต้องมีจุดจบทุกคน เพราะ "ความดีไม่มีวันตาย คนดีไม่มีวันพ่ายแพ้ต่ออำนาจชั่ว" ผบ.นภา กล่าวไว้ >>> ตัวละครเหล่านี้ก็เป็นตัวแบบให้มนุษย์ได้เรียนรู้ถึงผลของการทำชั่ว โดยไม่ต้องลองทำชั่วด้วยตัวเอง ว่าผลสุดท้าย ความดีก็ต้องชนะทุกสิ่งอยู่ดี
-- มาพูดถึงพระเอกกันบ้างนะ "หมวดแสงกล้า" แสดงโดยหมาก ปริญ เป็นนายตำรวจหนุ่มมาดกวน ชายเสื้อด้านซ้ายหลุดออกนอกกางเกงเสมอ >>> ก็เท่ดี แต่อีกมุมหนึ่งมันก็ดูไม่สุภาพ กับการแต่งตัวไม่เรียบร้อย แต่จุดนี้ก็เป็นประโยชน์นะ เพราะตอนที่ตัวร้ายปลอมตัวเป็นพระเอก ก็เอาเสื้อใส่ในกางเกงซะเรียบร้อยเชียว รู้เลยว่าตัวปลอม ความน่ารักอย่างหนึ่งก็คือ ตอนที่พระเอกไปช่วยนางเอกที่บ้าน แล้วตัวร้ายปลอมตัวเป็นนางเอก อ้าว...ทำไงล่ะ มีนางเอก 2 คนจะเลือกยิงใครดี หมวดแสงกล้าเลยถามนางเอกว่า "แพรไพลิน ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน?" โอ้โห...เอาฮาได้อีก แต่ก็ได้ผลนะ โดนคำด่าจากนางเอกสวนมา รู้เลยว่าใครตัวจริงใครตัวปลอม
-- ส่วนนางเอก "แพรไพลิน" ที่มีคนเอาชื่อไปโยงกับลูกสาวของทักษิณอีก ...เอ้อ ก็เข้าใจคิดเนอะ เราว่าอย่าไปคิดถึงขั้นนั้นเลย ลองมองในอีกแง่หนึ่งนะ เขาเป็นพ่อลูกกัน เราเป็นลูก ไม่ว่าพ่อจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี ...ก็พ่อลูกกัน เขาก็มีสิทธิที่จะใช้ชีวิตในสังคมเหมือนคนปกติ อย่ามองว่าเขาเป็นคนไม่ดี เพราะเขาเป็นลูกของคนที่คุณคิดว่าเป็นคนไม่ดี ...เป็นมนุษย์ต้องแยกแยะให้ออก อย่าเหมารวม ถ้าจะมองเขาเป็นคนไม่ดี ก็มองที่ตัวเขาเองดีกว่านะ ...โดยส่วนตัว ถ้าจะเอาชื่อนางเอกเป็นส่วนหนึ่งของการถอดละคร แม่งโคตรไร้สาระ
-- นักข่าว ที่ชื่อ "น้ำใส" น่าจะเป็นตัวแทนของสื่อมวลชน ที่ทำหน้าที่โดยสุจริต ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจใดๆ หากมองย้อนกลับในสังคมไทยปัจจุบัน ก็มีสื่อมวลชนสายการเมืองคนหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์เป็นประเด็นอยู่ในสังคม >>> หรือคิดว่าสื่อมวลชนไม่สามารถถามอะไรที่คุณไม่อยากตอบ ต้องรับรู้เพียงแต่สิ่งที่คุณอยากป้อน ป้อนเข้าสู่สมองประชาชนเท่านั้น
-- "จ่าสมิง" เป็นตัวละครที่โคตรเท่ เจ๋ง เก่ง >>> ไม่รู้จะบรรยายยังไง ถ้ามีคนดีๆ เก่งๆ คอยพิทักษ์ความดีอย่างจ่าสมิงอยู่ในสังคมเยอะๆ คนชั่วมันต้องเหนื่อยที่จะทำชั่วบ้างล่ะวะ พี่จ่าเค้าเก่งขนาดนั้น แล้วก็...อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ แสดงดีมากๆ เลยนะ ใครไม่เคยดูละครเรื่องนี้ ต้องลองไปหาดู
-- และสุดท้าย นก ฉัตรชัย ซึ่งเป็นตัวแทนของฝ่ายอธรรม ทำทุกอย่างที่เลว ทำทุกอย่างที่คนดีเขาไม่ทำกัน อีกลักษณะหนึ่งก็คือ เมื่อพ่ายแพ้จากการสู้กับจ่าสมิง มันจะพักฟื้น 1 ตะวัน 1 ราตรี ...ช่วงนี้แหละ ฝ่ายธรรมะจะรีบทำอะไรก็ทำ เพราะจะไม่มีตัวร้ายมาขัดขวาง เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง ทำอะไรไม่ได้นี่คือทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ นะ เหมือนต้องไปนอนสมานแผล จนหายแล้วถึงจะกลับมาทำชั่วต่อได้
อ่านแล้ว รู้สึกยังไงกันบ้าง... (หากมีข้อมูลใดคลาดเคลื่อน ก็ขออภัยด้วย)
ต้นเรื่อง ปูทางให้คนศรัทธาในความดี ยึดมั่นที่จะทำความดี
เมื่อเราทำความดี อำนาจชั่วร้ายก็จะมาข้องแวะกับเราไม่ได้
มันยุติธรรมแล้วเหรอ ที่เราจะไม่มีโอกาสได้ดูตอนจบ
ตอนจบที่ว่าตัวร้ายจะพบจุดจบยังไง คนดีจะมีที่ยืนในสังคมหรือเปล่า
ขอพูดในฐานะผู้บริโภคสื่อโทรทัศน์คนหนึ่ง
เราเข้าใจว่า ละครที่เราดูกันก็ดูในช่องฟรีทีวี ดูกันฟรีๆ
หากจะมองว่า ดูฟรี ก็ดูๆ กันไปเถอะ อย่าเรียกร้องอะไรมากมาย
คุณจะคิดอย่างนั้นก็ได้
แต่เหตุผลที่ว่า "ไม่เหมาะสม" นั้นเราหาไม่เจอ
ถ้าไม่เหมาะสมจริง เรทละครที่จัดก่อนออนแอร์ก็มี
ก่อนปล่อยให้ละครออกฉายก็ควรตรวจสอบก่อนแล้วไม่ใช่หรือ
อยู่ดีๆ มาบอกว่า "ไม่เหมาะสม" เมื่อฉายไปค่อนเรื่อง
...มัน "ไม่สมเหตุสมผล" เลยค่ะ บอกตรงๆ
อีกอย่างหนึ่ง พอทราบมาว่า ทางช่องก็ได้จ่ายเงินให้แก่ผู้จัดไปครบแล้ว
นั่นหมายความว่า ผู้จัดละครไม่ได้เสียรายได้จากการไม่ได้ออกอากาศ
แต่เป็นทางช่องต่างหาก ที่จ่ายเงินฟรีๆ แถมคำด่าจากแฟนละคร
แฟนละครของช่อง 3 ที่มีสโลแกนว่า "คุ้มค่าทุกนาที ดูทีวีสีช่อง 3"
หลายๆ คนคงคิดว่า ...ไม่คุ้มแล้วล่ะ ทำกันแบบนี้
...แต่เชื่อเถอะว่าคนไทยลืมง่าย ช่อง 3 ยังมีณเดชน์ ยังมีบอย ปกรณ์
ยังมีนักแสดงหลายๆ คนที่มีละครน้ำเน่าเบาสมอง ออกมาให้เราได้ดูกัน
...ที่สุดแล้ว เราก็ยังดูละครช่อง 3 อยู่ดี
แต่ฝ่ายที่เสีย เสียที่ว่าอาจไม่ใช่เสียเงิน หรือขาดทุนใดๆ
แต่กลายเป็น "เสียความรู้สึก" ก็คงเป็นผู้สร้างละคร
เราเห็นนักแสดงเขาพูดถึงละครเรื่องนี้กันนานมาก นั่นหมายความว่า
เขาคงทุ่มเททำงานกันอย่างหนัก เมื่อสิ่งที่ทุ่มเทลงไป
กลับได้รับผลตอบแทนแบบนี้ เขาก็คงท้อแท้เหมือนกันนะ
...แต่เชื่อว่า เขาคงต้องยอมรับ และทำใจ
และเราก็...เป็นกำลังใจให้นะ สู้ๆ
ส่วนที่ว่า การเมืองจะมีส่วนในการถอดละครเรื่องนี้หรือไม่
เราตอบไม่ได้ เพราะไม่มีใครพูดอะไร ฝ่ายการเมืองก็บอกว่า
ไม่เคยดูละครเรื่องนี้ ไม่รู้เลยว่าละครเรื่องนี้เป็นยังไง แล้วจะสั่งถอดได้ยังไง
...คุณทำงานเพื่อบ้านเมืองขนาดนี้ จนคุณไม่มีโอกาสได้ดูละคร เราขอบคุณมาก
แต่ภรรยาที่บ้านคุณไม่ดูเหรอคะ คงต้องบอกเล่าให้ฟังบ้างแหละเนอะ
...แค่คิดนะ ไม่ได้ว่าใคร อาจจะเป็นทางช่องที่พิจารณาเองก็ได้ อันนี้เราไม่รู้
Lord Acton ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจไว้อย่างน่าสนใจว่า “ ที่ใดมีอำนาจที่นั่นย่อมมีการฉ้อฉล ที่ใดมีอำนาจเหลือล้นที่นั่นย่อมมีการฉ้อฉลสุดประมาณ” power tends to corrupt and absolute power corrupts absolutely.
หากเรื่องนี้มีอำนาจการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องจริง คนไร้อำนาจอย่างพวกเราก็คงทำอะไรไม่ได้
เพราะเราได้มอบอำนาจให้เขาเข้าไปทำหน้าที่แทนเราในทางการเมืองไปแล้ว
ถ้าเขาคิดจะใช้อำนาจที่เรามอบให้ไปในทางที่ผิด โดยไม่ละอาย ...ก็จนปัญญา
หากมีทางแก้ ถ้าผู้บริโภคร้องเรียนต่อ กสทช.
ถ้าผู้บริโภคชนะ จะมีโอกาสบ้างมั้ย ที่ช่อง 3 จะไม่แค่โดนปรับ
แต่จะโดนบังคับให้ออกอากาศตอนที่เหลือจนจบ :)
ได้แต่หวัง หวังว่าจะมีทางเป็นไปได้
ขอย้ำว่าละครเรื่องนี้เป็นละครน้ำดี ที่คน คนที่เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจสูงควรจะดู และมีโอกาสได้ดู
ขอย้ำว่า คนที่เป็นมนุษย์นั้นมีความคิด ไม่ได้โง่ อย่ามาคิดแทนว่าอะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม
ขอย้ำว่า ประเทศเราเป็นประชาธิปไตย อย่าทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่มีเสรีภาพทางความคิดเลย
ฝากไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบ
ขอบคุณค่ะ
ปารัชญ์.
Tuesday, January 1, 2013
It's time for a blogger to write some blog :)
มันยุ่งถึงขนาดต้องกลับมาอยู่บ้านเชียวหรือ ถึงจะได้เขียน blog?
ถามใครอ่ะ 555+ ไม่รู้ดิ ชีวิตแลดูยุ่งเหยิง ไร้ระเบียบ ทำอะไรก็ไม่เสร็จซักอย่าง
ขนาดกลับมาบ้าน ยังต้องแบกงานกลับมาทำ
หนักมากกกกกก แต่ถามว่าได้ทำมั้ย... ก็ไม่นะ นอนลูกเดียว 555+
คราวนี้ขอเป็นบันทึกจับฉ่ายอีกรอบนะ
มีหลายเรื่องที่อยากเขียน อยากเล่าให้ฟัง แต่ก็ยังไม่มีโอกาส
ก่อนกลับกรุงเทพพรุ่งนี้ ขอจดบันทึกไว้ซักนิดละกัน
1--
ก่อนอื่นก็ขอสวัสดีปีใหม่ทุกคนนะคะ
ปีนี้ไม่ได้ส่ง sms ไม่ได้อวยพรอะไรใครเลย
...แบบว่า ขี้เกียจอ่ะ ไม่ใช่ไม่มีความปรารถนาดีให้ใครนะ
แต่ไม่อยากส่งไป เพียงเพื่อว่า เออ ได้ส่ง หรือเพียงเพื่อนับสถิติ ว่าคนนี้ส่งมาแล้วนะ
เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนขวางโลกเข้าไปทุกที
แกจะมองมุมต่างจากคนอื่นมากไปมั้ย... ไม่หรอก
เขาเรียกว่ามองโลกในสิ่งที่มันเป็น แค่นั้นเอง
เรารู้ว่า โลกไม่ได้สวย จะให้เรามองบวกตลอดเวลา เราทำไม่ได้
ไม่อยากให้หลายๆคน หลงระเริงไปกับสิ่งที่มันกำลังเปลี่ยนไป
หลงระเริงไปกับสิ่งที่กำลังเป็น ก็เลยต้องยั้งๆ ไว้บ้าง
ไม่ว่ากันนะ :)
2 --
ก่อนกลับบ้าน ที่บริษัทมีแจกของขวัญปีใหม่
แล้วก็แจกซองโบนัส ซึ่งจะเรียกเข้าไปรับทีละคน
ตอนแรกก็คิดไว้ ว่าเอาซองใบลาออกแลกซองโบนัสดีมั้ย เก๋ๆ
แต่ก็ไม่ได้ทำ คิดคำพูดไว้ตั้งมากมาย แต่ก็ไม่ได้พูด
ได้แต่พยักหน้า ค่ะๆๆๆ มองหน้า มองนม มองไหล่ มองเพดาน มองชั้นวางหนังสือด้านหลัง
...เขาบอกว่า ส่งที่ควรปรับปรุง คือเรื่องคุณภาพงาน กับเรื่องกำหนดงาน
เรื่องกำหนดงาน ทางหัวหน้าก็คง force ต่อมาเอง
แต่เรื่องคุณภาพงาน อยากให้มีสมาธิ ตั้งใจให้มากกว่านี้
งานจะได้ออกมาดี ให้มองที่เป้าหมายเดียวกัน
ให้ใช้เหตุผล อย่าใช้ความรู้สึก
-- ฟังหนูบ้างนะคะ
ต่อจากนี้ไม่ใช่ข้ออ้าง หรือข้อแก้ตัว แค่อยากพูดอะไรบ้างแค่นั้น
หนูรู้ค่ะ ว่าหนูทำงานได้ไม่ดี มันเป็นสิ่งที่ไม่ถนัดเลยจริงๆนะ
กับการมานั่งคิดอะไรแทนคนที่เป็นครู
อีกอย่างนะคะ ถ้าคุณได้ลองอ่านต้นฉบับดิบๆ จากอาจารย์ที่ส่งมา
ถ้าคุณรู้ซักนิด ว่าต้นฉบับมันไม่ใช่แค่มาตรวจๆคำผิด ส่งแก้ แล้วก็เสร็จ
ถ้างานมันพอจะมีคุณภาพมาบ้างแต่ต้น มันก็คงไม่แย่มากนัก
พิจารณาผู้เขียนที่เลือกมาเขียนด้วยดีไหมคะ
อย่าสักแต่เลือกมาสักแต่เขียนส่งให้เสร็จ ได้เงิน ต่อจากนั้นไม่ต้องสนใจ
ส่วนเรื่องให้ใช้เหตุผล มากกว่าความรู้สึก
แรกๆ หนูใช้เหตุผลตลอดนะคะ แต่หลังจากวันนั้น
ใจหนูก็ไม่เหลือแล้ว จะให้หนูทุ่มเทให้งานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็ไม่ได้หรอกนะ...
กับคนที่ไม่มีเหตุผลด้วย ใช้เหตุผลด้วย มันก็ไม่ได้อะไร
ถ้าไม่เริ่มรู้สึก มันก็นำไปสู่เหตุผลไม่ได้หรอกค่ะ...
อย่าเอาเปรียบกัน อย่าเอาแต่ได้ ปารัชญ์ไม่ชอบโดนเอาเปรียบ รับทราบไว้นะคะ
ทำมาหากิน ทำงานแลกเงินค่ะ...
3--
ก่อนปีใหม่ มีโอกาสได้ไปดูหนังเรื่องสุดยอดมนุษย์เงินเดือน
หนังสะท้อนปัญหา แดกดันสังคมได้ดีเลยทีเดียว
ลองเขียน 10 อย่างที่จะทำในปีหน้า ดีป่ะ? อ่ะๆ เริ่มเลยนะ เอาแบบเว่อร์ๆเลยนะ
๑) ปีหน้าจะโทรหาพ่อแม่ให้บ่อยขึ้น
๒) ปีหน้าจะต้องหางานใหม่ให้ได้ งานใหม่จะไม่ไปทำงานสาย จะใช้ชีวิตทำงานให้มีความสุขกว่านี้
- พี่บอกว่า เห็นทำงานนี้แล้วไม่มีความสุข ...นี่แสดงออกขนาดนั้นเลยเหรอ
๓) ปีหน้าจะเก็บเงินให้ได้มากที่สุด ต้องประหยัดละนะ แต่ขอเว้นเรื่องดูหนังไว้อย่างหนึ่งนะ
๔) ปีหน้าจะตั้งใจเรียน ซึ่งปกติไม่ค่อยตั้งใจเท่าไหร่ มาขยันเอาตอนจะสอบทีไร มันไม่ทันทุกที คำบรรยายที่อัดมา ก็ไม่เคยได้ฟัง อัดมาเปลืองเมมมากๆ เอาแค่ตั้งใจเรียนในห้องให้เข้าใจให้ได้มากที่สุดละกัน
๕) ปีหน้าจะกวนตีนให้น้อยลง จะพูดให้มากขึ้น ...ทำได้เหรอ? 555+ ทำไม่ได้หรอก เป็นผู้ฟังที่ดีแบบนี้อ่ะดีแล้ว
๖) ปีหน้าจะลดความอ้วน ...กี่ปีแล้วที่แกบอกจะลดความอ้วน ทำไมเคยได้ ปีนี้ก็ทำไม่ได้หรอก 555+
- - - คิดไม่ออกแล้ว ไม่ค่อยอยากทำอะไรเท่าไหร่ ไว้คิดออกแล้วจะมาเขียนต่อนะ...
4--
ว่ากันด้วยเรื่องเรียน ผ่านไปแล้ว 1 เทอม ผ่านมาได้อย่างทุลักทุเล
ได้ไปเรียนในระดับที่สูงขึ้น ได้เจอกลุ่มคนที่ทั้งแข่งขันกันและช่วยเหลือกัน
ไม่คิดว่าจะเจอคนที่มีความคิดว่า เมื่อไหร่จะเลิกเรียน จะได้กลับไปอ่านหนังสือ
...แม่เจ้า!! เกิดมา 20 กว่าปี ไม่เคยมีความคิดแบบนี้ ไม่เคยคิดจะทำด้วย
อย่างที่รู้ว่าเราเรียนภาษาอังกฤษมา เป็นวิชาที่เวลาสอบไม่เคยต้องอ่านหนังสือ
...แล้วทำข้อสอบได้ไง? ...ใช้ sense ไง นี่เป็นข้อเสียอย่างหนึ่งนะ
ที่เวลาใครถามอะไร ก็ตอบไม่ได้ว่าทำไม รู้แต่ว่า ก็มันเป็นอย่างนี้ มันต้องตอบอย่างนี้
แต่พอมาเจอสังคมแบบนี้ เราก็ต้องเพิ่มความขยันขึ้นมาอีกนิดนึง ย้ำว่านิดนึงเท่านั้น
เพราะเป็นคนขี้เกียจ อ่านหนังสือนานๆ ไม่ได้
ยิ่งวิชาคำนวณด้วยแล้ว มันไม่ใช่ทางเลย แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด
ซึ่งมันก็ผ่านมาได้ ...ผ่านมาได้ยังไงก็ไม่รู้
เรื่องเกรดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ
หลังจากเกรดออก เพื่อนๆ หลายคนก็เครียดกัน เพราะหวังไว้เยอะ
แต่มันกลับไม่ได้อย่างที่หวัง แต่สำหรับเรามันโอเค โอเคในระดับที่เรารู้ตัวเองดี
ว่าเราอยู่ระดับไหน เราไม่อยากให้พากันคิดมาก เครียดมาก ...จะบอกอะไรให้ฟังนะ
สมัยเรียนปริญญาตรี ...ด้วยวิธีการเรียนที่ใช้ sense มาตลอด
แล้วก็...เราเป็นคนตั้งใจเรียน ไม่โดดเรียน ไม่เคยเข้าเรียนสาย ทำให้ดีที่สุด ทั้งๆที่เราไม่ถนัด
ผลคือ ได้เกรดเยอะ บวกกับจบมาพร้อมเกียรตินิยมอันดับ 2
แต่...เราไม่เคยฝึกงาน เราไม่มีประสบการณ์
เราเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง เราเป็นเด็กเกียรตินิยมที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้
โคตรกดดันเลยนะ ...เกรดมันค้ำคอ เกียรตินิยมมันค้ำคอ ว่าคุณต้องมีความสามารถนะ
ถ้าเลือกได้ ขอจบแบบแค่ผ่านก็พอ
ที่พูดมาทั้งหมด ถ้าคนคิดเป็น และเข้าใจว่าเราจะสื่ออะไร
ต้องเข้าใจ ว่าเราไม่ได้อยากโม้ ว่าเราจบเกียรตินิยมมา
...แค่อยากให้คิดว่า ถ้าเรามั่นใจว่าเรามีความสามารถ เกรดมันก็แค่เกรด
มันก็แค่ทางผ่านให้เราเรียนรู้ เพื่อเดินไปยังเป้าหมาย ก็แค่นั้นเอง
"ตั้งใจเรียน เอาความรู้ เพื่อไปใช้ ก็พอ... เชื่อเรานะ"
----------------------------
พอแค่นี้ก่อนละกันเนอะ ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้แวะเข้ามาเขียนอีก
ขอบคุณมากสำหรับคนที่มีโอกาสได้เข้ามาอ่าน
ขอบคุณมากที่เข้ามารับรู้ความคิดของเรา
ปีเก่าผ่านไปแล้ว ...โลกไม่แตก เราก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตกันต่อไป
สิ่งเดียวที่อยากขอก็คือ ขอมีชีวิตที่ไม่ต้องอดทน ไม่ต้องรู้สึกว่าทรมานทุกครั้งที่หายใจ
...ขอแค่นี้ ให้เราได้มั้ย
ปารัชญ์
1/1/56
ถามใครอ่ะ 555+ ไม่รู้ดิ ชีวิตแลดูยุ่งเหยิง ไร้ระเบียบ ทำอะไรก็ไม่เสร็จซักอย่าง
ขนาดกลับมาบ้าน ยังต้องแบกงานกลับมาทำ
หนักมากกกกกก แต่ถามว่าได้ทำมั้ย... ก็ไม่นะ นอนลูกเดียว 555+
คราวนี้ขอเป็นบันทึกจับฉ่ายอีกรอบนะ
มีหลายเรื่องที่อยากเขียน อยากเล่าให้ฟัง แต่ก็ยังไม่มีโอกาส
ก่อนกลับกรุงเทพพรุ่งนี้ ขอจดบันทึกไว้ซักนิดละกัน
1--
ก่อนอื่นก็ขอสวัสดีปีใหม่ทุกคนนะคะ
ปีนี้ไม่ได้ส่ง sms ไม่ได้อวยพรอะไรใครเลย
...แบบว่า ขี้เกียจอ่ะ ไม่ใช่ไม่มีความปรารถนาดีให้ใครนะ
แต่ไม่อยากส่งไป เพียงเพื่อว่า เออ ได้ส่ง หรือเพียงเพื่อนับสถิติ ว่าคนนี้ส่งมาแล้วนะ
เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนขวางโลกเข้าไปทุกที
แกจะมองมุมต่างจากคนอื่นมากไปมั้ย... ไม่หรอก
เขาเรียกว่ามองโลกในสิ่งที่มันเป็น แค่นั้นเอง
เรารู้ว่า โลกไม่ได้สวย จะให้เรามองบวกตลอดเวลา เราทำไม่ได้
ไม่อยากให้หลายๆคน หลงระเริงไปกับสิ่งที่มันกำลังเปลี่ยนไป
หลงระเริงไปกับสิ่งที่กำลังเป็น ก็เลยต้องยั้งๆ ไว้บ้าง
ไม่ว่ากันนะ :)
2 --
ก่อนกลับบ้าน ที่บริษัทมีแจกของขวัญปีใหม่
แล้วก็แจกซองโบนัส ซึ่งจะเรียกเข้าไปรับทีละคน
ตอนแรกก็คิดไว้ ว่าเอาซองใบลาออกแลกซองโบนัสดีมั้ย เก๋ๆ
แต่ก็ไม่ได้ทำ คิดคำพูดไว้ตั้งมากมาย แต่ก็ไม่ได้พูด
ได้แต่พยักหน้า ค่ะๆๆๆ มองหน้า มองนม มองไหล่ มองเพดาน มองชั้นวางหนังสือด้านหลัง
...เขาบอกว่า ส่งที่ควรปรับปรุง คือเรื่องคุณภาพงาน กับเรื่องกำหนดงาน
เรื่องกำหนดงาน ทางหัวหน้าก็คง force ต่อมาเอง
แต่เรื่องคุณภาพงาน อยากให้มีสมาธิ ตั้งใจให้มากกว่านี้
งานจะได้ออกมาดี ให้มองที่เป้าหมายเดียวกัน
ให้ใช้เหตุผล อย่าใช้ความรู้สึก
-- ฟังหนูบ้างนะคะ
ต่อจากนี้ไม่ใช่ข้ออ้าง หรือข้อแก้ตัว แค่อยากพูดอะไรบ้างแค่นั้น
หนูรู้ค่ะ ว่าหนูทำงานได้ไม่ดี มันเป็นสิ่งที่ไม่ถนัดเลยจริงๆนะ
กับการมานั่งคิดอะไรแทนคนที่เป็นครู
อีกอย่างนะคะ ถ้าคุณได้ลองอ่านต้นฉบับดิบๆ จากอาจารย์ที่ส่งมา
ถ้าคุณรู้ซักนิด ว่าต้นฉบับมันไม่ใช่แค่มาตรวจๆคำผิด ส่งแก้ แล้วก็เสร็จ
ถ้างานมันพอจะมีคุณภาพมาบ้างแต่ต้น มันก็คงไม่แย่มากนัก
พิจารณาผู้เขียนที่เลือกมาเขียนด้วยดีไหมคะ
อย่าสักแต่เลือกมาสักแต่เขียนส่งให้เสร็จ ได้เงิน ต่อจากนั้นไม่ต้องสนใจ
ส่วนเรื่องให้ใช้เหตุผล มากกว่าความรู้สึก
แรกๆ หนูใช้เหตุผลตลอดนะคะ แต่หลังจากวันนั้น
ใจหนูก็ไม่เหลือแล้ว จะให้หนูทุ่มเทให้งานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็ไม่ได้หรอกนะ...
กับคนที่ไม่มีเหตุผลด้วย ใช้เหตุผลด้วย มันก็ไม่ได้อะไร
ถ้าไม่เริ่มรู้สึก มันก็นำไปสู่เหตุผลไม่ได้หรอกค่ะ...
อย่าเอาเปรียบกัน อย่าเอาแต่ได้ ปารัชญ์ไม่ชอบโดนเอาเปรียบ รับทราบไว้นะคะ
ทำมาหากิน ทำงานแลกเงินค่ะ...
3--
ก่อนปีใหม่ มีโอกาสได้ไปดูหนังเรื่องสุดยอดมนุษย์เงินเดือน
หนังสะท้อนปัญหา แดกดันสังคมได้ดีเลยทีเดียว
ลองเขียน 10 อย่างที่จะทำในปีหน้า ดีป่ะ? อ่ะๆ เริ่มเลยนะ เอาแบบเว่อร์ๆเลยนะ
๑) ปีหน้าจะโทรหาพ่อแม่ให้บ่อยขึ้น
๒) ปีหน้าจะต้องหางานใหม่ให้ได้ งานใหม่จะไม่ไปทำงานสาย จะใช้ชีวิตทำงานให้มีความสุขกว่านี้
- พี่บอกว่า เห็นทำงานนี้แล้วไม่มีความสุข ...นี่แสดงออกขนาดนั้นเลยเหรอ
๓) ปีหน้าจะเก็บเงินให้ได้มากที่สุด ต้องประหยัดละนะ แต่ขอเว้นเรื่องดูหนังไว้อย่างหนึ่งนะ
๔) ปีหน้าจะตั้งใจเรียน ซึ่งปกติไม่ค่อยตั้งใจเท่าไหร่ มาขยันเอาตอนจะสอบทีไร มันไม่ทันทุกที คำบรรยายที่อัดมา ก็ไม่เคยได้ฟัง อัดมาเปลืองเมมมากๆ เอาแค่ตั้งใจเรียนในห้องให้เข้าใจให้ได้มากที่สุดละกัน
๕) ปีหน้าจะกวนตีนให้น้อยลง จะพูดให้มากขึ้น ...ทำได้เหรอ? 555+ ทำไม่ได้หรอก เป็นผู้ฟังที่ดีแบบนี้อ่ะดีแล้ว
๖) ปีหน้าจะลดความอ้วน ...กี่ปีแล้วที่แกบอกจะลดความอ้วน ทำไมเคยได้ ปีนี้ก็ทำไม่ได้หรอก 555+
- - - คิดไม่ออกแล้ว ไม่ค่อยอยากทำอะไรเท่าไหร่ ไว้คิดออกแล้วจะมาเขียนต่อนะ...
4--
ว่ากันด้วยเรื่องเรียน ผ่านไปแล้ว 1 เทอม ผ่านมาได้อย่างทุลักทุเล
ได้ไปเรียนในระดับที่สูงขึ้น ได้เจอกลุ่มคนที่ทั้งแข่งขันกันและช่วยเหลือกัน
ไม่คิดว่าจะเจอคนที่มีความคิดว่า เมื่อไหร่จะเลิกเรียน จะได้กลับไปอ่านหนังสือ
...แม่เจ้า!! เกิดมา 20 กว่าปี ไม่เคยมีความคิดแบบนี้ ไม่เคยคิดจะทำด้วย
อย่างที่รู้ว่าเราเรียนภาษาอังกฤษมา เป็นวิชาที่เวลาสอบไม่เคยต้องอ่านหนังสือ
...แล้วทำข้อสอบได้ไง? ...ใช้ sense ไง นี่เป็นข้อเสียอย่างหนึ่งนะ
ที่เวลาใครถามอะไร ก็ตอบไม่ได้ว่าทำไม รู้แต่ว่า ก็มันเป็นอย่างนี้ มันต้องตอบอย่างนี้
แต่พอมาเจอสังคมแบบนี้ เราก็ต้องเพิ่มความขยันขึ้นมาอีกนิดนึง ย้ำว่านิดนึงเท่านั้น
เพราะเป็นคนขี้เกียจ อ่านหนังสือนานๆ ไม่ได้
ยิ่งวิชาคำนวณด้วยแล้ว มันไม่ใช่ทางเลย แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด
ซึ่งมันก็ผ่านมาได้ ...ผ่านมาได้ยังไงก็ไม่รู้
เรื่องเกรดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ
หลังจากเกรดออก เพื่อนๆ หลายคนก็เครียดกัน เพราะหวังไว้เยอะ
แต่มันกลับไม่ได้อย่างที่หวัง แต่สำหรับเรามันโอเค โอเคในระดับที่เรารู้ตัวเองดี
ว่าเราอยู่ระดับไหน เราไม่อยากให้พากันคิดมาก เครียดมาก ...จะบอกอะไรให้ฟังนะ
สมัยเรียนปริญญาตรี ...ด้วยวิธีการเรียนที่ใช้ sense มาตลอด
แล้วก็...เราเป็นคนตั้งใจเรียน ไม่โดดเรียน ไม่เคยเข้าเรียนสาย ทำให้ดีที่สุด ทั้งๆที่เราไม่ถนัด
ผลคือ ได้เกรดเยอะ บวกกับจบมาพร้อมเกียรตินิยมอันดับ 2
แต่...เราไม่เคยฝึกงาน เราไม่มีประสบการณ์
เราเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง เราเป็นเด็กเกียรตินิยมที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้
โคตรกดดันเลยนะ ...เกรดมันค้ำคอ เกียรตินิยมมันค้ำคอ ว่าคุณต้องมีความสามารถนะ
ถ้าเลือกได้ ขอจบแบบแค่ผ่านก็พอ
ที่พูดมาทั้งหมด ถ้าคนคิดเป็น และเข้าใจว่าเราจะสื่ออะไร
ต้องเข้าใจ ว่าเราไม่ได้อยากโม้ ว่าเราจบเกียรตินิยมมา
...แค่อยากให้คิดว่า ถ้าเรามั่นใจว่าเรามีความสามารถ เกรดมันก็แค่เกรด
มันก็แค่ทางผ่านให้เราเรียนรู้ เพื่อเดินไปยังเป้าหมาย ก็แค่นั้นเอง
"ตั้งใจเรียน เอาความรู้ เพื่อไปใช้ ก็พอ... เชื่อเรานะ"
----------------------------
พอแค่นี้ก่อนละกันเนอะ ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้แวะเข้ามาเขียนอีก
ขอบคุณมากสำหรับคนที่มีโอกาสได้เข้ามาอ่าน
ขอบคุณมากที่เข้ามารับรู้ความคิดของเรา
ปีเก่าผ่านไปแล้ว ...โลกไม่แตก เราก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตกันต่อไป
สิ่งเดียวที่อยากขอก็คือ ขอมีชีวิตที่ไม่ต้องอดทน ไม่ต้องรู้สึกว่าทรมานทุกครั้งที่หายใจ
...ขอแค่นี้ ให้เราได้มั้ย
ปารัชญ์
1/1/56
Subscribe to:
Posts (Atom)