อีกหนึ่งงานเขียนของ "นิ้วกลม" ที่ตกหลุมรัก จนเก็บเอาไว้คนเดียวไม่ได้...
"อาจารย์ในร้านคุกกี้" เป็นความเรียง ที่อ่านแล้ว มีความสุข สุขกับสิ่งที่นิ้วกลมพยายามสื่อ เพื่อให้กำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจ ในการใช้ชีวิต เคยอ่านหนังสือแล้วยิ้มไหม...? อ่านไป แล้วยิ้มไปกับบางตอนของหนังสือ และบ่อยครั้ง ที่ต้องหัวเราะออกมา หัวเราะน้อย ๆ ที่เราจำคำจำกัดความของลักษณะการหัวเราะแบบนี้ไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร(สงสัยต้องกลับไปเปิดคัมภีร์คลังคำ สมัยเรียนวิชาแปลเสียแล้วล่ะ)
หลายบท หลายตอน ที่อ่านแล้ว ต้องตะโกนในใจว่า "เออ จริงด้วยว่ะ!" หนึ่งในนั้นก็คือตอนนี้...
" ความปลอดภัย ไม่เคยทำให้ใคร เติบโต"
นิ้วกลม บอกว่า เขาว่ายน้ำไม่เป็น (เหมือนเราเลยแฮะ) ที่ว่ายไม่เป็นนั้น ก็เพราะว่าไม่มีเวลาหัดเมื่อครั้งยังเด็ก เขาจึงต้องหัดว่ายน้ำอยู่แค่ในกะละมัง เมื่อร่างกายเติบโตกว่ากะละมัง ก็เป็นอันต้องโบกมือลา
เขานึกเรื่องนี้ขึ้น ขณะคุยกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่เซี่ยงไฮ้ เขาถามเพื่อนเขาว่า มั่นใจรึยัง กับงานใหม่ เธอตอบไปว่า จะมั่นใจได้ยังไง รู้แต่ว่า มันตื่นเต้น ท้าทายดี ทำงานก็อย่างนี้แหละ "อย่าเอาตัวเองไปไว้ในที่ปลอดภัย ถ้ารู้สึกว่าปลอดภัยเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราจะเริ่มนิ่ง หยุดพัฒนา แต่ถ้าทำได้ มันน่าภูมิใจ นายมาที่นี่ก็เหมือนถูกจับโยนลงน้ำ ว่ายไม่เป็นก็ต้องว่าย ไม่ว่ายก็ตาย ตอนนี้นายก็ว่ายเป็นแล้วเห็นไหม...?"
ก็เหมือนสระว่ายน้ำ..มีทั้งความสนุกและอันตราย อันตรายสำหรับคนว่ายน้ำไม่เป็น สนุกสำหรับคนว่ายเป็น...
เขาคิดว่า ช่วงเวลาที่สนุกที่สุด คือช่วงหัดว่าย ต้องตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด ห้วงเวลาสำคัญคือ ตอนที่ยืนอยู่ขอบสระ จะหันหลังหรือจะโดด?
อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือฉันใด อยากว่ายน้ำเป็น ก็ต้องโดดลงน้ำฉันนั้น...
ถ้าตอนเด็กๆเขาตัดสินใจโดดลงน้ำ ก็คงดำผุดดำว่ายได้อย่างสบายใจ "แต่ทุกวันนี้ เขาจึงยังต้องนั่งแช่อยู่ในกะละมัง"
...แล้วทำไมเล็กถึงว่ายน้ำไม่เป็น...? นั่นสิ ทำไม ทำไม ก็พ่อแม่นั่นแหละ ไม่ยอมหัดให้ว่าย..(นั่น รำไม่ดีโทษปี่โทษกลองอีก) เอาเป็นว่าตอนนี้ว่ายไม่เป็นละกันนะ
ผลของการว่ายน้ำไม่เป็น คือการไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเที่ยวสมุย ทั้งๆที่ใช้ชีวิตอยู่ที่สุราษฎร์มากว่าครึ่งชีวิต... อายเขาไหมล่ะ? ตอนนี้ไม่อายแล้ว 555+
ผลของการว่ายน้ำไม่เป็น... นอกจากไม่เคยไปสมุยแล้ว จะไปเที่ยวไหน ก็ไม่ค่อยได้ไป... เอ๊ะ มันเกี่ยวกับการว่ายน้ำไม่เป็นรึเปล่านะ...?
เวลาจะไปเที่ยวทีไร ต้องหนี หนีที่ว่าคือ ไปก่อน แล้วค่อยบอก แต่ทุกครั้งที่หนี เหมือนแม่จะมี sense ทุกทีเลย รู้เองโดยไม่ต้องบอก...จนบัดนี้ก็ยังสงสัย ว่าแม่รู้ได้ไง...สุดยอดจริงๆ
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ชวนให้นึกถึงสมัยเรียนมัธยมอยู่สุราษฎร์ เพื่อนๆเค้าได้ไปโน่นไปนี่ ตระเวนติวหนังสือ ไปค่ายโน่นนี่เยอะแยะ แล้วเล็กล่ะ...แม่ไม่ให้ไปจ๊ะ ...น่าเศร้าป่ะล่ะ! จนเพื่อนๆก็เป็นห่วง ว่าถึงเวลาจริงๆแล้ว เล็กจะอยู่ได้มั้ย เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ จะไปไหนมาไหนเป็นมั้ย ...ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเอง ต้องอยู่ได้แหละน่า ยังไงก็ต้องโดดลงน้ำ มันต้องลองตะเกียกตะกายล่ะว่ะ เกิดมาทั้งที คงไม่ตายง่ายๆหรอก...แล้วอยู่ได้มั้ย...? อยู่ได้ ตายมั้ย...? ก็ไม่ตาย ก็แค่...ยังว่ายไม่คล่อง แต่ก็ไม่จมนะ...
นอกจากว่ายน้ำไม่เป็นแล้ว เล็กก็ยัง "ขี่มอ'ไซค์" , "ขับรถยนต์" ไม่เป็นอีกต่างหาก... คราวนี้ไม่โทษใครแล้ว โทษตัวเองล้วนๆ แต่ เอ๊ะ...ไม่โทษดีกว่า จะโทษทำไม ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย... ทำไมถึงไม่เป็น...? ก็ไม่อยากเป็น ไม่หัด เขาให้หัดก็ไม่หัด เหตุผลก็คือ รู้สึกว่า เครื่องยนต์เป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ ไม่เหมือนจักรยาน เราควบคุมมันได้ด้วยสองมือสองเท้าของเราเอง จะเป็นจะตายก็ตายด้วยอวัยวะของตัวเอง คิดอย่างนี้จริงๆ ตอนนี้ก็ยังคิดอยู่... ถามว่าไม่เป็นแล้วมันลำบากมั้ย ตอนนี้ตอบได้เลยว่า ไม่หนิ จะไปไหนก็บอกพ่อสิ เดี๋ยวพ่อก็ไปส่ง ถ้าพ่อไม่อยู่ ก็รถเมล์ รถตุ๊กๆไง ไม่เห็นยาก... อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เชื่อว่าชาตินี้คงไม่มีปัญญามีรถเป็นของตัวเอง หัดไปก็ไม่ได้ขับ จะหัดไปทำเพื่อ...?
มานึกถึงตอนหัดขี่จักรยานแล้ว ก็สนุกนะตอนนั้น ตอนเด็กๆ จักรยานต้องมี 4 ล้อ เจ้า 2 ล้อเล็กๆ มันน่ารักนะว่ามั้ย...? มันทำให้เราแกร่ง เราเป็น คอยประคองไม่ให้เราล้ม จะปั่นเร็ว แค่ไหนก็ได้ ก็เพียงแค่ เราจะแพ้จักรยาน 2 ล้อ ของเพื่อนที่แกร่งกว่า แค่นั้นเอง... เมื่อเราเริ่มทรงตัวได้ เราก็ได้มีจักรยาน 2 ล้อ กับเขาบ้าง...มันก็คันเดิมนั่นแหละ แต่เจ้า 2 ล้อ มันยอมสละตัวเองออก ให้เราแกร่งสู้คนอื่นได้ ยิ่งโตขึ้น จักรยานของเราก็คันใหญ่ขึ้น ยิ่งวงล้อใหญ่เท่าไหร่ เรายิ่งไปได้ไกล แต่ถ้าวงล้อใหญ่เกินตัว "เราจะล้ม" นี่คือความจริง จริงๆนะ...
ถึงตอนนี้ เราจะว่ายน้ำไม่เป็น ขี่มอ'ไซค์ไม่เป็น ขับรถยนต์่ไม่เป็น...ทั้งหมดนี้ "เราเลือกเอง" นับว่าเราอยู่ในจุดปลอดภัยที่ไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย... พี่นิ้วบอกว่า ความปลอดภัยไม่เคยทำให้ใครเติบโต ...ก็ใช่นะ เรายังไม่โต แต่ไม่ใช่ไม่โต เราแค่โตช้ากว่าคนอื่น เดินช้ากว่าคนอื่น แค่นั้นเอง... ก็จังหวะชีวิตเราเป็นแบบนี้ เราก็เลยไม่รีบ :)
Sunday, October 30, 2011
Sunday, October 23, 2011
Mission Possible 23-10-2011 ณ ของนิ้วกลม
"ณ" -- รวมความเรียงอารมณ์ดี ณ สถานที่ใกล้ตัว โดย "นิ้วกลม"
ครั้งแรก ที่อ่านหนังสือแล้วอยากให้มันเกิดอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ความพยายามในการจดสิ่งที่ชอบ ลงในสมุดสวยๆ ที่ซื้อมาเก็บไว้ ก็มีไม่มากพอ... จะเขียนลงใน Twitter ความสามารถในการจัดการกับข้อความ ให้ได้ใจความภายใน 140 ตัวอักษร ก็ยังไม่เจ๋งพอ เหลือเพียงเอาชนะความขี้เกียจในการเขียน Blog ยาวๆ ที่เราเคยทำได้สมัยเพ้อมากๆ ตอนอยู่มหาลัย... และตอนนี้ มันกำลังเริ่มต้น...
:: ณ พื้นที่กว้างคูณยาวคูณหนา ::
พื้นที่ที่ว่านี้ พี่นิ้วหมายถึง "หนังสือ" นั่นเอง มุมมองจากนักเขียน ที่มองว่า กว่าหนังสือจะออกมาเป็นรูปเล่ม มันเคยเป็นกระดาษเปล่าๆ มาก่อน แต่กระดาษนั้นได้สละความว่างเปล่า เพื่อให้บางอย่างถูกสร้างขึ้น บางอย่างที่ว่า คือเรื่องราว สถานที่ และสิ่งที่แปรเปลี่ยนกาลเวลา ย้อนอดีต หรือไปสู่อนาคต สร้างกลิ่น สร้างเสียง และสิ่งต่าง ๆ มากมาย สร้างได้แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงบนโลก...ทุกอย่างนี้ อยู่ ณ พื้นที่กว้างคูณยาวคูณหนานี่เอง
จริง ๆ แล้ว เคยคิดอยากจะเป็นนักเขียนนะ เคยมีคนบอกว่า เราเป็นนักเลงคีย์บอร์ด ถนัดเขียนมากกว่าพูด ก็จริงล่ะ แต่จะให้เขียนอะไรที่มันมีสาระ... ก็คงยากหน่อย ได้แต่เวิ่นเว้อ เพ้อเจ้อไปตามประสา อาจจะเป็นเพราะมุมมองในการใช้ชีวิตเรายังไม่กว้างพอ โลกใบนี้กว้างใหญ่ เกินกว่ากบในกะลาอย่างเราจะหยิบยกอะไรมาเขียน เพื่อถ่ายทอดให้คนอื่นได้รู้ บวกกับเวลา เวลาอีกแล้ว เวลาที่เราคิดว่าเป็นตัวแปรสำคัญในการจะทำอะไรหลาย ๆ สิ่ง เวลาที่เหมาะสม และเวลาที่เพียงพอ คือสิ่งที่เรายังไม่มี... เราเลยยังไม่มี พื้นที่กว้างคูณยาวคูณหนา เป็นของตัวเองซักที
แต่เวลาก็ยังมีเพียงพอ ให้เราได้อ่านหนังสือบทนี้จบ และมีแรงบันดาลในอีกเสี้ยวหนึ่ง ที่อยากเป็นคนที่ร่วมเดินทางไปกับ "นักอ่าน" ในฐานะ "นักเขียน" บ้าง... ซักวัน เราจะเป็น.... รอเราด้วยนะ :)
:: ณ บ้านและห้อง ::
นิ้วกลมบอกว่า เขามีบ้านสองหลัง หลังหนึ่งเขาเรียกมันว่า "บ้าน" ส่วนอีกหลัง เขาเรียกมันว่า "ห้อง" นิ้วกลมบอกอย่างนั้น ปารัชญ์ก็อยากบอกอย่างนั้นเหมือนกัน ตอนนี้เราอยู่ที่ "บ้าน" และอีกไม่กี่วัน เราจะต้องกลับไปอยู่ที่ "ห้อง"
นิ้วกลมยังบอกอีกว่า อาณาเขตของบ้านมักถูกกั้นด้วย "รั้ว" ส่วนห้อง มักถูกกั้นด้วย "กำแพง" ...
เราเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ อยากจะอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวที่เรียกว่า "บ้าน" มากกว่า "ห้อง" แม้ว่าในบ้าน จะต้องมีห้องอยู่ก็ตาม แต่อย่างไรก็แล้วแต่ เราก็พร้อมจะเรียกห้องนั้นว่าเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน... แต่ในทางกลับกัน คนสมัยนี้กลับต้องใช้ห้องเป็นบ้านเสียมากกว่า ด้วยสังคมที่เปลี่ยนไป ความจำเป็นหลายๆอย่าง โดยเฉพาะหน้าที่การงาน ทำให้เราต้องใช้ห้อง เป็นพื้นที่ส่วนตัว
เราเอง เคยอาศัยอยู่ในบ้าน ที่เดินไปเดินมาได้ มีต้นไม้ โอ่งน้ำ ตู้จดหมาย ประตูรั้ว กำแพงหลังบ้าน และมีสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมเติมแต่งให้บ้าน มีความเป็นบ้าน นั่นก็คือ "ครอบครัว" แต่ตอนนี้กลับต้องไปอาศัยอยู่ใน "ห้องสี่เหลี่ยม" ที่มีเพียงพื้นที่ให้กลับมานอน รอจะออกไปในวันรุ่งขึ้น เท่านั้นเอง... ดูเหมือนสิ่งที่เราเลือก จะทำให้ความสุขในชีวิตหล่นหายไปเยอะเลย ว่ามั้ย...? ก็ได้แต่หวังว่าซักวัน... เราจะได้อยู่ใน "บ้าน" ที่มี "ครอบครัว" ทำให้บ้านเป็นบ้าน... ซักวันนะ เราจะมี... รอเราด้วยนะ :)
:: ณ โรงพยาบาลแผนกกระดูก ::
บทนี้ นิ้วกลมกล่าวว่า เขา "อิจฉาคนขาหัก" ... ทำไมต้องอิจฉา...? เขาบอกว่า คนที่เข้าเฝือก มักจะได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง มากกว่าเวลาที่สบายดี คนที่เข้าเฝือก ดูคล้ายจะเป็นคนที่ "ขาด" แต่แท้จริงแล้ว คนที่คล้ายจะ "ขาด" เหล่านั้น กลับไม่ได้ "ขาด" แต่มี "มากกว่า" ห้วงเวลาปกติเสียด้วยซ้ำ...
คนเข้าเฝือก ไม่เคยเดินไปแผนกกระดูกคนเดียว อย่างน้อยแต่ละคน จะต้องมี "คนข้างๆ" ประคับประคองมาด้วยเสมอ... นั่นแหละ คือสิ่งที่เขามีมากกว่า จากที่เคยมีสองแขน กลับกลายเป็นสาม จากที่เคยมีสองขา กลับกลายเป็นสาม จากที่เคยมีหนึ่งใจ กลับกลายเป็นสอง...
คนเราจะห่วงใยกันมากขึ้น เมื่ออีกคนหนึ่งอ่อนแอ ขณะที่ใครคนหนึ่งอ่อนแอ อีกคนหนึ่งจะเข้มแข็งขึ้น ห้วงเวลาที่เราอ่อนแอ เป็นช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้ใครอีกคนเข้ามาดูแลใส่ใจ ...นิ้วกลมบอกอย่างนั้น...
ถามว่าเราเคยอ่อนแอมั้ย...? ก็เคย เคยอ่อนแอให้คนอื่นเอาใจมั้ย...? ก็เคย แล้วสำเร็จทุกครั้งมั้ย...? คำตอบคือ... ไม่ แปลกนะที่เรารู้จักพฤติกรรมที่เราเรียกว่า "สำออย" ตั้งแต่เด็ก ๆ เคยทำแบบนี้ให้พ่อแม่เอาใจ ให้พ่อแม่ดูแล แล้วก็รู้สึกดีมากๆด้วย... แต่พอโตขึ้นมา เรากลับเลือกที่จะแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง ทั้งๆที่จริงแล้ว มันอ่อนแอสุดๆ... สถานการณ์มันทำให้เราต้องเข้มแข็ง เพื่ออยู่คนเดียวให้ได้...
ปีที่แล้ว เราไม่สบาย ไม่สบายแบบที่ร่างกายมันพยายามเข้มแข็งไม่ไหวแล้ว... ออกจากที่ทำงานตอนเที่ยง นั่งรถ TAXI ไปโรงพยาบาลใกล้ที่ทำงาน หมอตรวจแล้วบอกว่าอาจจะเป็นไข้หวัด 2009 ซึ่งนับได้ว่าเป็นโรคที่ใครๆก็รังเกียจมากๆโรคหนึ่ง ณ ตอนนั้น... และเราอาจจะเป็น...
ตัดสินใจบอกหมอไปว่า ไม่แอทมิทได้มั้ยคะ กลับไปพักที่ห้อง ดูอาการซักวัน อาจจะไม่เป็นอะไร หมอก็โอเค แล้วนัดวันมาตรวจ กลับไปจะถึงห้องก็โทรบอกพี่ ว่าไปหาหมอมา อาจจะเป็นหวัด 2009 สิ่งที่ได้รับจากการบอกเล่า กลับไม่ใช่ความห่วงใย แต่ที่รู้สึกได้ คือการผลักไส... ทำไมไม่แอทมิท ไปนอนโรงพยาบาลดิ ไม่ต้องกลับมาห้องหรอก... คือ...ไม่ใช่ไม่อยากไปนะคะ คือ...ไปส่ง ไปเป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ย...? แค่นั้นแหละที่ต้องการ แต่ในเมื่อมันไม่ได้อย่างที่ต้องการ... ความเข้มแข็ง บวกกับความน้อยใจ มันก็เลยกลายเป็นพลัง ว่าชีวิตนี้ เราต้องอยู่คนเดียว... และต้องอยู่ให้ได้ด้วย...
กลับไปเอาเสื้อผ้า เอาของที่คิดว่าจำเป็น แล้วก็ออกมาโบก TAXI ต่อไปโรงพยาบาล ใกล้หอพัก "คนเดียว" ได้พบหมอประมาณ 4 โมงเย็น ตอนนั้นมันเริ่มหมดแรงแล้วนะ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน เหนือสิ่งอื่นใด คือการที่ป่วยแทบไม่มีแรงจะยืน แต่ไม่มีห้องว่างที่จะให้คนป่วยเข้าไปนอน... จากสี่โมงเย็นจนกระทั่งสองทุ่ม สี่ชั่วโมงเต็มที่ต้องนั่งอยู่บนรถเข็น ชะเง้อมองคุณพยาบาล เมื่อไหร่จะพาเราไปนอนซักทีนะ เรากำลังจะตายแล้วนะ... เป็นวันที่ทรมานมากที่สุดอีกวันหนึ่งในชีวิต
จนได้ห้องนอน พี่ก็มาเยี่ยม... ถามว่าดีใจมั้ย ก็ดีใจ... แต่เสียใจมั้ย เสียใจมากกว่า ที่มากกว่าเสียใจ ก็คือ น้อยใจ และน้อยใจมากด้วย ที่มาเยี่ยมนี่แม่บอกให้มาดูน้องใช่มั้ย ถ้าแม่ไม่บอก คงไม่มาใช่มั้ย... ทำไมตอนเราอยู่คนเดียว ไม่มาดูแล ไม่มาใส่ใจ มาตอนนี้ มันไม่ทันหรอก กับช่วงเวลาที่เราต้องทนทรมานอยู่คนเดียว... ต่อให้ตอนนี้ต้องตาย เราก็ตายคนเดียวได้... ณ ตอนนั้น คิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะเราอ่อนแอไม่ได้ เราไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเข้มแข็ง ต้องแสร้งเข้มแข็ง เพื่อตัวเอง และเพื่อให้คนอื่นเห็น ว่าเราไม่ใช่คนอ่อนแอ... แต่จะมีใครที่รู้ ว่าแท้จริงแล้ว ข้างในมันกำลังจะตาย... ก็คงไม่มี...
ทำไมเวลาที่เรา "ขาด" มันก็ขาดจริงๆ ไม่เห็นมี "มากกว่า" เหมือนที่พี่นิ้วกลมบอกเลย ทำไมพี่นิ้วไม่มาเจอ ตอนเราอยู่โรงพยาบาลวันนั้นบ้าง ...เราก็น้อยใจเป็นนะ :(
อยากบอกพี่นิ้วว่า คนอ่อนแอบางคนอาจเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก (แต่คนอ่อนแออีกหลายคนก็ยังเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในโลกเหมือนกันนะคะ)
:: ณ สถานีรถไฟ ::
นิ้วกลมบอกว่า รถไฟไทยนั้นช้าไม่แพ้ชาติใดในโลก ในโลกปัจจุบันนี้ หลายประเทศแข่งขันกันด้านความเร็ว ว่ารถไฟใครจะไปได้เร็วกว่ากัน ญี่ปุ่นมี "ชิงกังเซ็น" ฝรั่งเศส มี "TGV" รถไฟไทยที่ว่าด่วนๆ ก็คงเทียบกับประเทศเหล่านี้ไม่ได้อยู่ดี...
แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง จำเป็นด้วยหรือ ที่เราจะต้องไปถึงจุดหมายก่อนใคร คนเมืองเขาจะเร่งรีบก็ช่างเขา แต่บ้านเรา รถไฟบ้านๆ บรรยากาศบ้าน ๆ บรรยากาศที่เราไม่ได้เร่งรีบจะไปถึงจุดหมายขนาดนั้น มันก็ลงตัวดีอยู่แล้ว มิใช่หรือ...?
นิ้วกลมเรียกท่วงทำนองของรถไฟที่เรา เรียกกันว่า ฉึกกะฉักๆ ว่า "ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง" :) (เราชอบนะ)
ส่วนตัวแล้ว เป็นคนไม่ค่อยได้เดินทางโดยรถไฟเท่าไหร่นัก เคยนั่งรถไฟฟรีไปหัวหินอยู่ครั้งเดียว ตอนนั้น อยากจะเปลี่ยนให้เป็นรถไฟด่วนอย่างที่ฝรั่งเศสหรือญี่ปุ่นเสียจริง ๆ ถ้าได้นั่งไปสบายๆ เราคงจะได้ซึมซับช่วงเวลา "ระหว่างทาง" อย่างเต็มใจและเต็มที่มากกว่านี้ แต่มันกลับกลายเป็นความทรมานเสียมากกว่า เมื่อยก้นเป็นที่สุด
เวลาเดินทางไปไหนมาไหน เราจะชอบช่วงเวลา "ระหว่างทาง" มากที่สุด ระหว่างทางไป และ ทางกลับ มันช่างต่างกันจริงๆ เราเลือกที่จะถ่างตา นั่งนอนมองออกไปข้างนอกกระจก มองสถานที่ที่เราเพียงแค่ผ่านมาเพื่อพบ เพื่อเพียงผ่านไป... จนกระทั่งไม่ไหวจริงๆ ถึงจะยอมนอน... แปลกคนเนอะ... เราจำกันและกันไม่ได้หรอก ว่าเราผ่านมาเวลาไหน ตอนไหน นั่นแหละ คือสเน่ห์ของช่วงเวลาระหว่างทาง... ระหว่างทางไป...ยิ่งใกล้ถึง เรายิ่งรู้สึกอยากให้มันถึงเร็วๆ จุดหมายที่เราเดินทางมา ถึงแล้วสินะ... ระหว่างทางกลับ... กลับรู้สึกว่า... ใครก็ได้ ช่วยทำถนนให้มันยาว ให้มันไกลสุดลูกหูลูกตาเหมือนท้องฟ้าจะได้ไหม ไม่ได้อยากจะย้อนกลับไปนะ แต่อยากจะมีช่วงเวลา "ระหว่างทาง" ให้ยาวนานที่สุด ความสุขมันอยู่ตรงนั้นจริงๆ... ใครที่เดินทางแล้วหลับตลอดทาง อยากให้ลองตื่นมาเจอช่วงเวลา "ระหว่างทาง" ดูบ้างนะคะ ความสุขเหนือสิ่งอื่นใด อยู่ตรงนั้นจริงๆ พูดแล้วก็...เดินทางต่อไปนะ รอเราด้วย :)
:: ณ ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเล็กๆ และมหกรรมคอนเสิร์ตใหญ่ๆ ::
ณ ที่นี้ นิ้วกลมพูดถึงความไม่พอดี ของ "ขนาด" ก๋วยเตี๋ยวเรืออนุสาวรีย์ ทำไมไม่ทำให้ชามใหญ่ จะได้ไม่ต้องสั่งหลายๆชาม ยาคูลท์ ขวดมันเล็กไปมั้ย...? ดูดไม่กี่อึกก็หมด และคอนเสิร์ตใหญ่นักร้องจากเมืองนอกที่เขากำลังจะไปดู แต่กลับรู้สึกว่า... 7 สีคอนเสิร์ต คนยังเยอะกว่านี้เลยว่ะ...
คำถามคือ หากทุกอย่างถูกทำให้พอดีอย่างที่ว่าจริง หากก๋วยเตี๋ยวเรือกินชามเดียวอิ่ม เราก็ไม่ได้สั่งหลายๆ ชามสิ หากยาคูลท์ออกขวดใหม่ขนาดสองลิตร เรายังอยากจะดื่มอยู่มั้ย...? และหากมหกรรมคอนเสิร์ตจัดในฮอล์เล็กๆ แล้วตัดคำว่า "มหกรรม" ออก เรายังจะกระตือรือร้นที่จะดูมันอยู่มั้ย...? อืมมมมม ก็น่าคิดนะ....
เคยมีคนบอกว่า... ความพอดี ไม่มีในโลก... เราเชื่อแล้วล่ะ ว่าจริง :)
:: ณ งานศพ ::
"ถ้าเลือกได้ อยากให้แฟนตายก่อน รึอยากตายก่อนแฟน" คำถามวัดใจ ที่ตอบยาก เพราะยังไม่มีแฟน มีแต่คน(ที่)รัก :)
นิ้วกลมบอกว่า เค้าคิดอยู่เสมอว่า ใครที่ยิ่งร้องไห้ฟูมฟายในงานศพ คนคนนั้นยังมีเรื่องดีๆที่ยังไม่ได้ทำให้กับผู้ตายมากมายนัก ส่วนใครที่ยิ้มแย้มและไม่เสียน้ำตา นั่นมักจะแปลว่า คนคนนั้นได้ทำในสิ่งที่อยากทำมาโดยตลอด ... ณ งานศพ เรามักจะพบคนสองประเภทนี้เสมอ
...โลกแห่งความตาย เป็นยังไง เราก็ไม่รู้ อยากจะลองไปเจอ แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตดูอีกซักครั้ง อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง กับคำถามวัดใจ ถ้าเลือกได้ อยากให้ใครตายก่อน ระหว่างตัวเองกับคนที่เรารัก... วูบหนึ่ง เวลาน้อยใจใครมากๆ โกรธใครมากๆ อยากเห็นภาพงานศพของตัวเอง แล้วมีคนคนนั้นอยู่ในงานศพ อยากรู้ว่าเค้าจะเสียใจบ้างมั้ยที่เราตาย เค้าจะร้องไห้รึเปล่านะ อยากลองตายดูเพื่อเห็นภาพนั้น... อีกห้วงเวลาหนึ่ง ที่เผลอคิดไป ว่าถ้าวันหนึ่ง เรากับคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อน ต้องอยู่กันคนละโลก ก็เผลอคิดไปแบบเป็นคนดี ว่าถ้าเค้าตายก่อน เค้าจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน ไม่ต้องเสียใจอะไร เรายอมเป็นคนเสียใจคนเดียวเองก็ได้นะ ถ้าเราตายก่อน ก็ลำบากเค้าต้องมาจัดงานศพ ลำบากโน่นนี่อีก แต่มันก็เหมือนแช่ง... แต่จริง ๆ แล้ว เราไม่รู้หรอก ว่าใครจะตายก่อนกัน ถ้าเลือกได้... เรามาตายพร้อมกันดีมั้ย
ชีวิตนี้ก็ไปงานศพมาบ้าง ไม่ถือว่าบ่อยนัก...ก็แน่สิ ใครจะอยากไปบ่อย ๆ ล่ะ ที่จำได้ติดตา คืองานศพยาย และตา ยายป่วยเป็นโรคมะเร็ง เป็นครั้งแรกที่จำได้ทุกเหตุการณ์ในงานศพวันนั้น แม้ว่ายายจะอยู่ได้นานกว่าที่หมอบอก แต่ทุกคนก็เสียใจ แม่ และน้องๆของแม่ เสียใจกันหมด สำหรับเรา ขอคิดต่างกับพี่นิ้วอยู่บ้าง การลาจากมันก็เหมือนแผลที่ยังสดอยู่ เป็นแผลแรกๆ ไม่แปลกที่เราต้องร้องไห้เป็นธรรมดา แต่ก็เฉพาะคนที่ใกล้ชิดเท่านั้น เอาแค่เราเองเป็นหลานแท้ ๆ ยังไม่ร้องไห้เลย ...ไม่ใช่ไม่เสียใจนะ แต่เราไม่ร้องไห้ ไม่รู้ทำไม
หนึ่งปีผ่านไป ตาก็ตรอมใจ เมื่อไม่มีเพื่อนคู่ชีวิต ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึก รู้สึกจริงๆ... พอรู้ข่าว น้ำตาก็ไหล มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ก็ตาไม่ได้เป็นอะไร แล้วตาจะตายได้ยังไง ตาจะตายไปทำไม... หมดแล้ว เสาหลัก ผู้ใหญ่ที่คอยเป็นศูนย์กลางของที่บ้าน วันนั้นเสียใจ.. แล้วเราก็ได้รู้ว่า ทำไมเราถึงเสียใจ ก็เพราะเรายังไม่ได้ ทำอะไรต่อมิอะไรให้ตาเลย นี่แหละ ที่วกเข้าสู่คำพูดของพี่นิ้ว เรายังไม่ได้ทำดีต่อกันตอนยังมีชีวิตอยู่ เราใช้ประโยคนี้เตือนตัวเองอยู่เสมอ นับแต่วันนั้น....
เราตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าไม่สาหัสจริงๆ เราจะไม่โกรธ ไม่เกลียดใคร เพราะเราไม่รู้ว่า เราจะมีชีวิตอยู่ ได้มีลมหายใจ ได้ทำอะไรดี ๆ ต่อกันได้อีกนานแค่ไหน... เดินก้าวออกไปจากห้องตอนนี้ ไม่รู้จะได้กลับมาอีกรึเปล่า พยายามนะ...พยายามทำให้หลายๆคู่ที่ไม่ลงรอยกัน กลับมาคืนดีกัน ด้วยเหตุผลนี้ แต่เขาไม่เคยฟัง... ไม่เคยใส่ใจ เราก็จนปัญญา
ไม่นานมานี้ มีเพื่อนร่วมห้อง... ขับรถชน...ตาย เพื่อนที่ไม่ค่อยสนิท และออกแนวไม่ค่อยชอบขี้หน้าด้วยซ้ำ และไม่ได้ติดต่อกันเลยตั้งแต่จบมัธยมมา เสียดายที่ตอนนั้นเราไม่ได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จนวันนี้ก็ต้องตายจากกันซะแล้ว... น่าเสียดาย...
เมื่อเร็ว ๆ นี้... พ่อของพี่ที่สนิท...ขับรถชน...ตาย ใครน่าเห็นใจมากกว่า ระหว่างคนที่อยู่และคนที่ไป คนที่อยู่ ดูจะเสียใจมากกว่า นั่นก็เพราะยังไม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน"มากพอ" รู้ตัวอีกที ก็สายไปเสียแล้ว...
แล้วเราล่ะ ทำดีกับคนที่เรารัก มากพอรึยัง...ใช้เวลาให้คุ้มค่านะคะ "พรุ่งนี้" สำหรับเรา อาจจะไม่มีก็ได้... :)
:: ณ สนามโบว์ลิ่ง ::
คำพูดของครูใหญ่ เช้าวันก่อนสอบ "เชื่อว่าวันนี้ ทุกคนคงกำลังกังวลเรื่องการสอบ ครูอยากจะบอกกับนักเรียนทุกคนว่าอย่าไปกลัวข้อสอบ เพราะถ้ากลัว เธอก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เจอมันแล้ว อะไรก็ตามที่เรากลัวก่อนที่จะลงมือทำ ลงมือต่อสู้กับมัน เราจะแพ้ตั้งแต่ต้น ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ เธอก็จะทำไม่ได้ แต่ถ้าคิดว่าทำได้ เธอก็อาจจะทำมันได้บ้าง เพราะฉะนั้น อย่ากลัวข้อสอบ เดินเข้าห้องสอบด้วยความมั่นใจและคิดว่าเราทำได้ ครูขอให้ทุกคนโชคดี"
นิ้วกลมไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อน "โยนยังไงให้ไม่ตกราง?" ,"โยนยังไงให้สไตรก์?" 2 คำถามที่เกิดขึ้นระหว่างเพื่อน 2 คำถามที่ชวนให้เขานึกถึงคำพูดของครูใหญ่วันนั้น
เขาเคยได้ยินนักจิตวิทยาพูดถึงจินตนาการในหัวของคนเรา การที่เราจะทำสิ่งใดให้เกิดขึ้นนั้น เราต้องเห็น "ภาพสุดท้าย" ที่ชัดเจนเสียก่อน ภาพสุดท้ายที่ว่านั้น ก็เหมือนกันกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ เวลาเรียน...
จากวันนั้น ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็จะนึกถึง "ภาพสุดท้าย" ก่อนเสมอ
มิสเตอร์ ลีโอ เบอร์เนทท์ กล่าวว่า "When you reach for the stars, you may not quite get one, but you won't come up with a handful of mud either"
"เมื่อคุณเอื้อมมือคว้าดาว คุณอาจไม่ได้ดาวเลยสักดวง แต่สิ่งที่ได้ติดมือมาย่อมไม่ใช่โคลนตม"
ลูกโบว์ลิ่งของเพื่อนเขากำลังกลิ้งไปสู่พินทั้งสิบ คราวนี้มันไม่ตกราง...
จะว่าไป...ชีวิตเราไม่เคยตั้งเป้าหมายอะไรขนาดนี้ และสมัยเรียนก็ยังสงสัยอยู่จนทุกวันนี้ ว่า คาบแรกที่เข้าเรียน ทำไมเราจะต้องจดจุดประสงค์การเรียนรู้ตามคำบอกของอาจารย์ไว้ในหน้าแรกของสมุด... ทั้งๆ ที่เรียนจนจบก็ยังไม่เคยเปิดย้อนกลับไปดู ว่ามันได้ครบตามจุดประสงค์มั้ย... เอ๊ะ รึมีแต่เราที่ไม่เคยดู
ชีวิตเราตอนนี้ก็เหมือนกัน มันยังดูไร้จุดหมาย เรายังมองไม่เห็น "ภาพสุดท้าย" ที่เป็นภาพสุดท้ายจริงๆ หากแต่ภาพสุดท้ายในแต่ละวัน มันก็ยังพอแว้บๆเข้ามาในหัวบ้าง ภาพสุดท้ายสำหรับทุกวันนี้ คือต้อง "จบวัน" ให้ได้ดีที่สุด ปัญหามากมายรอให้เราก้าวผ่านไป อาจจะยังไม่เจอจุดหมายที่แท้จริง แค่ก้าวผ่านไปให้ได้ในทุกวัน ก็พอใจแล้ว จริงๆนะ... ลูกโบว์ลิ่งเราไม่สไตรก์ แต่มันก็ไม่ตกรางเหมือนกัน... :)
:: ณ ร้านอาหารทะเล ::
"ผมเชื่อมาตลอดว่าพ่อชอบกินหัวกุ้ง เช่นกันกับพ่อ, แม่ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ฝึกนิสัยไม่รู้จักแทะ ไม่รู้จักแกะเปลือกให้กับผม" นิ้วกลมบอกอย่างนั้น...
นานวันเข้า เขาเริ่มรู้แล้วว่า ที่จริงหัวกุ้งไม่ใช่ส่วนที่อร่อยที่สุด แต่เป็นส่วนที่แกะกินยากที่สุดต่างหาก แต่ทำไมพ่อถึงชอบกิน? พ่อคงอยากให้เราใช้ช้อนตักเนื้อชิ้นๆเข้าปากและเคี้ยวง่ายๆมากกว่าจะต้องใช้มือมาหยิบให้เปื้อน และสิ่งเหล่านั้นนั่นเองที่อาจทำให้พ่อกินอะไรพวกนั้น "อร่อย" ขึ้นจริงๆ "อร่อย" ที่ได้กินส่วนที่กินยาก และให้ลูกๆได้กินส่วนที่กินง่ายๆ
"อร่อย" ตรงที่ได้เห็นลูกๆ "อร่อย"
...สงสัยพ่อแม่จะเป็นอย่างนี้แทบทุกบ้าน ตอนเด็ก ๆ เราก็เข้าใจมาตลอดเหมือนพี่นิ้วนี่แหละ พ่อกับแม่ก็ชอบพูดแบบนี้เหมือนกัน เวลาเราแกะกุ้งและหักเอาหัวกุ้งออกใส่จานใส่เปลือก พ่อจะรีบห้ามแล้วบอกว่า อย่าทิ้ง ๆ ของอร่อย... เราก็มองดู แล้วก็นึกในใจว่า มันมีอะไรอยู่ในหัวกุ้ง ที่มันอร่อยนะ ...โตขึ้นมาก็เลยลองกินดู แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหัวกุ้งนะ ลองกินดูแล้ว มันก็กรุบๆกรอบๆ ออกแนวแหยะๆ ไม่เห็นอร่อยเท่าตัวกุ้งเลย ออกแนวกินเพราะกุ้งมันตัวเล็ก กินหัว ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรกินเสียด้วยซ้ำ
แต่ก็ไม่ใช่แค่กุ้ง ไหนจะหัวปลา ตีนไก่ ตูดเป็ด อีก อันนี้เราไม่กินจริงๆ นะ... เราก็รู้ว่าพ่อแม่กิน เพื่อจะเหลือเนื้อไว้ให้เรากิน แต่ถ้าเลือกได้ก็จะไม่กิน... ทำได้ดีที่สุดก็เพียง กินช้า ๆ กินหัวกุ้งบ้างนิดหน่อย แทะเนื้อแถวๆหัวปลา กินพอเป็นพิธี ทิ้งช่วงเวลา พอให้พ่อกับแม่ มองเห็นเนื้อที่หลงเหลืออยู่ในจาน พอที่จะหยิบขึ้นมากิน เมื่อรู้ว่าลูก ได้กินอิ่มแล้ว :)
-- ยังมีอีก ณ หลาย ๆ ที่ ที่รอให้คุณไปพิสูจน์ --
สถานที่บางแห่ง ไม่ได้มีความหมายเพียงพื้นที่แสดงอาณาเขต และเป็นที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้างใดๆเท่านั้น แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ สถานที่นั้นต่างหากที่มีคุณค่าให้เราได้ระลึกถึงและทบทวน
สถานที่ + เหตุการณ์ x ตัวอักษรของ"นิ้วกลม" = ________
อยากให้ลองหาคำตอบของสมการนี้ในหนังสือเล่มนี้ดูนะคะ แล้วคุณจะรักเค้า "ณ" โดย "นิ้วกลม" ...
ครั้งแรก ที่อ่านหนังสือแล้วอยากให้มันเกิดอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ความพยายามในการจดสิ่งที่ชอบ ลงในสมุดสวยๆ ที่ซื้อมาเก็บไว้ ก็มีไม่มากพอ... จะเขียนลงใน Twitter ความสามารถในการจัดการกับข้อความ ให้ได้ใจความภายใน 140 ตัวอักษร ก็ยังไม่เจ๋งพอ เหลือเพียงเอาชนะความขี้เกียจในการเขียน Blog ยาวๆ ที่เราเคยทำได้สมัยเพ้อมากๆ ตอนอยู่มหาลัย... และตอนนี้ มันกำลังเริ่มต้น...
:: ณ พื้นที่กว้างคูณยาวคูณหนา ::
พื้นที่ที่ว่านี้ พี่นิ้วหมายถึง "หนังสือ" นั่นเอง มุมมองจากนักเขียน ที่มองว่า กว่าหนังสือจะออกมาเป็นรูปเล่ม มันเคยเป็นกระดาษเปล่าๆ มาก่อน แต่กระดาษนั้นได้สละความว่างเปล่า เพื่อให้บางอย่างถูกสร้างขึ้น บางอย่างที่ว่า คือเรื่องราว สถานที่ และสิ่งที่แปรเปลี่ยนกาลเวลา ย้อนอดีต หรือไปสู่อนาคต สร้างกลิ่น สร้างเสียง และสิ่งต่าง ๆ มากมาย สร้างได้แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงบนโลก...ทุกอย่างนี้ อยู่ ณ พื้นที่กว้างคูณยาวคูณหนานี่เอง
จริง ๆ แล้ว เคยคิดอยากจะเป็นนักเขียนนะ เคยมีคนบอกว่า เราเป็นนักเลงคีย์บอร์ด ถนัดเขียนมากกว่าพูด ก็จริงล่ะ แต่จะให้เขียนอะไรที่มันมีสาระ... ก็คงยากหน่อย ได้แต่เวิ่นเว้อ เพ้อเจ้อไปตามประสา อาจจะเป็นเพราะมุมมองในการใช้ชีวิตเรายังไม่กว้างพอ โลกใบนี้กว้างใหญ่ เกินกว่ากบในกะลาอย่างเราจะหยิบยกอะไรมาเขียน เพื่อถ่ายทอดให้คนอื่นได้รู้ บวกกับเวลา เวลาอีกแล้ว เวลาที่เราคิดว่าเป็นตัวแปรสำคัญในการจะทำอะไรหลาย ๆ สิ่ง เวลาที่เหมาะสม และเวลาที่เพียงพอ คือสิ่งที่เรายังไม่มี... เราเลยยังไม่มี พื้นที่กว้างคูณยาวคูณหนา เป็นของตัวเองซักที
แต่เวลาก็ยังมีเพียงพอ ให้เราได้อ่านหนังสือบทนี้จบ และมีแรงบันดาลในอีกเสี้ยวหนึ่ง ที่อยากเป็นคนที่ร่วมเดินทางไปกับ "นักอ่าน" ในฐานะ "นักเขียน" บ้าง... ซักวัน เราจะเป็น.... รอเราด้วยนะ :)
:: ณ บ้านและห้อง ::
นิ้วกลมบอกว่า เขามีบ้านสองหลัง หลังหนึ่งเขาเรียกมันว่า "บ้าน" ส่วนอีกหลัง เขาเรียกมันว่า "ห้อง" นิ้วกลมบอกอย่างนั้น ปารัชญ์ก็อยากบอกอย่างนั้นเหมือนกัน ตอนนี้เราอยู่ที่ "บ้าน" และอีกไม่กี่วัน เราจะต้องกลับไปอยู่ที่ "ห้อง"
นิ้วกลมยังบอกอีกว่า อาณาเขตของบ้านมักถูกกั้นด้วย "รั้ว" ส่วนห้อง มักถูกกั้นด้วย "กำแพง" ...
เราเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ อยากจะอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวที่เรียกว่า "บ้าน" มากกว่า "ห้อง" แม้ว่าในบ้าน จะต้องมีห้องอยู่ก็ตาม แต่อย่างไรก็แล้วแต่ เราก็พร้อมจะเรียกห้องนั้นว่าเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน... แต่ในทางกลับกัน คนสมัยนี้กลับต้องใช้ห้องเป็นบ้านเสียมากกว่า ด้วยสังคมที่เปลี่ยนไป ความจำเป็นหลายๆอย่าง โดยเฉพาะหน้าที่การงาน ทำให้เราต้องใช้ห้อง เป็นพื้นที่ส่วนตัว
เราเอง เคยอาศัยอยู่ในบ้าน ที่เดินไปเดินมาได้ มีต้นไม้ โอ่งน้ำ ตู้จดหมาย ประตูรั้ว กำแพงหลังบ้าน และมีสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมเติมแต่งให้บ้าน มีความเป็นบ้าน นั่นก็คือ "ครอบครัว" แต่ตอนนี้กลับต้องไปอาศัยอยู่ใน "ห้องสี่เหลี่ยม" ที่มีเพียงพื้นที่ให้กลับมานอน รอจะออกไปในวันรุ่งขึ้น เท่านั้นเอง... ดูเหมือนสิ่งที่เราเลือก จะทำให้ความสุขในชีวิตหล่นหายไปเยอะเลย ว่ามั้ย...? ก็ได้แต่หวังว่าซักวัน... เราจะได้อยู่ใน "บ้าน" ที่มี "ครอบครัว" ทำให้บ้านเป็นบ้าน... ซักวันนะ เราจะมี... รอเราด้วยนะ :)
:: ณ โรงพยาบาลแผนกกระดูก ::
บทนี้ นิ้วกลมกล่าวว่า เขา "อิจฉาคนขาหัก" ... ทำไมต้องอิจฉา...? เขาบอกว่า คนที่เข้าเฝือก มักจะได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง มากกว่าเวลาที่สบายดี คนที่เข้าเฝือก ดูคล้ายจะเป็นคนที่ "ขาด" แต่แท้จริงแล้ว คนที่คล้ายจะ "ขาด" เหล่านั้น กลับไม่ได้ "ขาด" แต่มี "มากกว่า" ห้วงเวลาปกติเสียด้วยซ้ำ...
คนเข้าเฝือก ไม่เคยเดินไปแผนกกระดูกคนเดียว อย่างน้อยแต่ละคน จะต้องมี "คนข้างๆ" ประคับประคองมาด้วยเสมอ... นั่นแหละ คือสิ่งที่เขามีมากกว่า จากที่เคยมีสองแขน กลับกลายเป็นสาม จากที่เคยมีสองขา กลับกลายเป็นสาม จากที่เคยมีหนึ่งใจ กลับกลายเป็นสอง...
คนเราจะห่วงใยกันมากขึ้น เมื่ออีกคนหนึ่งอ่อนแอ ขณะที่ใครคนหนึ่งอ่อนแอ อีกคนหนึ่งจะเข้มแข็งขึ้น ห้วงเวลาที่เราอ่อนแอ เป็นช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้ใครอีกคนเข้ามาดูแลใส่ใจ ...นิ้วกลมบอกอย่างนั้น...
ถามว่าเราเคยอ่อนแอมั้ย...? ก็เคย เคยอ่อนแอให้คนอื่นเอาใจมั้ย...? ก็เคย แล้วสำเร็จทุกครั้งมั้ย...? คำตอบคือ... ไม่ แปลกนะที่เรารู้จักพฤติกรรมที่เราเรียกว่า "สำออย" ตั้งแต่เด็ก ๆ เคยทำแบบนี้ให้พ่อแม่เอาใจ ให้พ่อแม่ดูแล แล้วก็รู้สึกดีมากๆด้วย... แต่พอโตขึ้นมา เรากลับเลือกที่จะแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง ทั้งๆที่จริงแล้ว มันอ่อนแอสุดๆ... สถานการณ์มันทำให้เราต้องเข้มแข็ง เพื่ออยู่คนเดียวให้ได้...
ปีที่แล้ว เราไม่สบาย ไม่สบายแบบที่ร่างกายมันพยายามเข้มแข็งไม่ไหวแล้ว... ออกจากที่ทำงานตอนเที่ยง นั่งรถ TAXI ไปโรงพยาบาลใกล้ที่ทำงาน หมอตรวจแล้วบอกว่าอาจจะเป็นไข้หวัด 2009 ซึ่งนับได้ว่าเป็นโรคที่ใครๆก็รังเกียจมากๆโรคหนึ่ง ณ ตอนนั้น... และเราอาจจะเป็น...
ตัดสินใจบอกหมอไปว่า ไม่แอทมิทได้มั้ยคะ กลับไปพักที่ห้อง ดูอาการซักวัน อาจจะไม่เป็นอะไร หมอก็โอเค แล้วนัดวันมาตรวจ กลับไปจะถึงห้องก็โทรบอกพี่ ว่าไปหาหมอมา อาจจะเป็นหวัด 2009 สิ่งที่ได้รับจากการบอกเล่า กลับไม่ใช่ความห่วงใย แต่ที่รู้สึกได้ คือการผลักไส... ทำไมไม่แอทมิท ไปนอนโรงพยาบาลดิ ไม่ต้องกลับมาห้องหรอก... คือ...ไม่ใช่ไม่อยากไปนะคะ คือ...ไปส่ง ไปเป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ย...? แค่นั้นแหละที่ต้องการ แต่ในเมื่อมันไม่ได้อย่างที่ต้องการ... ความเข้มแข็ง บวกกับความน้อยใจ มันก็เลยกลายเป็นพลัง ว่าชีวิตนี้ เราต้องอยู่คนเดียว... และต้องอยู่ให้ได้ด้วย...
กลับไปเอาเสื้อผ้า เอาของที่คิดว่าจำเป็น แล้วก็ออกมาโบก TAXI ต่อไปโรงพยาบาล ใกล้หอพัก "คนเดียว" ได้พบหมอประมาณ 4 โมงเย็น ตอนนั้นมันเริ่มหมดแรงแล้วนะ ข้าวก็ยังไม่ได้กิน เหนือสิ่งอื่นใด คือการที่ป่วยแทบไม่มีแรงจะยืน แต่ไม่มีห้องว่างที่จะให้คนป่วยเข้าไปนอน... จากสี่โมงเย็นจนกระทั่งสองทุ่ม สี่ชั่วโมงเต็มที่ต้องนั่งอยู่บนรถเข็น ชะเง้อมองคุณพยาบาล เมื่อไหร่จะพาเราไปนอนซักทีนะ เรากำลังจะตายแล้วนะ... เป็นวันที่ทรมานมากที่สุดอีกวันหนึ่งในชีวิต
จนได้ห้องนอน พี่ก็มาเยี่ยม... ถามว่าดีใจมั้ย ก็ดีใจ... แต่เสียใจมั้ย เสียใจมากกว่า ที่มากกว่าเสียใจ ก็คือ น้อยใจ และน้อยใจมากด้วย ที่มาเยี่ยมนี่แม่บอกให้มาดูน้องใช่มั้ย ถ้าแม่ไม่บอก คงไม่มาใช่มั้ย... ทำไมตอนเราอยู่คนเดียว ไม่มาดูแล ไม่มาใส่ใจ มาตอนนี้ มันไม่ทันหรอก กับช่วงเวลาที่เราต้องทนทรมานอยู่คนเดียว... ต่อให้ตอนนี้ต้องตาย เราก็ตายคนเดียวได้... ณ ตอนนั้น คิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะเราอ่อนแอไม่ได้ เราไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเข้มแข็ง ต้องแสร้งเข้มแข็ง เพื่อตัวเอง และเพื่อให้คนอื่นเห็น ว่าเราไม่ใช่คนอ่อนแอ... แต่จะมีใครที่รู้ ว่าแท้จริงแล้ว ข้างในมันกำลังจะตาย... ก็คงไม่มี...
ทำไมเวลาที่เรา "ขาด" มันก็ขาดจริงๆ ไม่เห็นมี "มากกว่า" เหมือนที่พี่นิ้วกลมบอกเลย ทำไมพี่นิ้วไม่มาเจอ ตอนเราอยู่โรงพยาบาลวันนั้นบ้าง ...เราก็น้อยใจเป็นนะ :(
อยากบอกพี่นิ้วว่า คนอ่อนแอบางคนอาจเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก (แต่คนอ่อนแออีกหลายคนก็ยังเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในโลกเหมือนกันนะคะ)
:: ณ สถานีรถไฟ ::
นิ้วกลมบอกว่า รถไฟไทยนั้นช้าไม่แพ้ชาติใดในโลก ในโลกปัจจุบันนี้ หลายประเทศแข่งขันกันด้านความเร็ว ว่ารถไฟใครจะไปได้เร็วกว่ากัน ญี่ปุ่นมี "ชิงกังเซ็น" ฝรั่งเศส มี "TGV" รถไฟไทยที่ว่าด่วนๆ ก็คงเทียบกับประเทศเหล่านี้ไม่ได้อยู่ดี...
แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง จำเป็นด้วยหรือ ที่เราจะต้องไปถึงจุดหมายก่อนใคร คนเมืองเขาจะเร่งรีบก็ช่างเขา แต่บ้านเรา รถไฟบ้านๆ บรรยากาศบ้าน ๆ บรรยากาศที่เราไม่ได้เร่งรีบจะไปถึงจุดหมายขนาดนั้น มันก็ลงตัวดีอยู่แล้ว มิใช่หรือ...?
นิ้วกลมเรียกท่วงทำนองของรถไฟที่เรา เรียกกันว่า ฉึกกะฉักๆ ว่า "ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง" :) (เราชอบนะ)
ส่วนตัวแล้ว เป็นคนไม่ค่อยได้เดินทางโดยรถไฟเท่าไหร่นัก เคยนั่งรถไฟฟรีไปหัวหินอยู่ครั้งเดียว ตอนนั้น อยากจะเปลี่ยนให้เป็นรถไฟด่วนอย่างที่ฝรั่งเศสหรือญี่ปุ่นเสียจริง ๆ ถ้าได้นั่งไปสบายๆ เราคงจะได้ซึมซับช่วงเวลา "ระหว่างทาง" อย่างเต็มใจและเต็มที่มากกว่านี้ แต่มันกลับกลายเป็นความทรมานเสียมากกว่า เมื่อยก้นเป็นที่สุด
เวลาเดินทางไปไหนมาไหน เราจะชอบช่วงเวลา "ระหว่างทาง" มากที่สุด ระหว่างทางไป และ ทางกลับ มันช่างต่างกันจริงๆ เราเลือกที่จะถ่างตา นั่งนอนมองออกไปข้างนอกกระจก มองสถานที่ที่เราเพียงแค่ผ่านมาเพื่อพบ เพื่อเพียงผ่านไป... จนกระทั่งไม่ไหวจริงๆ ถึงจะยอมนอน... แปลกคนเนอะ... เราจำกันและกันไม่ได้หรอก ว่าเราผ่านมาเวลาไหน ตอนไหน นั่นแหละ คือสเน่ห์ของช่วงเวลาระหว่างทาง... ระหว่างทางไป...ยิ่งใกล้ถึง เรายิ่งรู้สึกอยากให้มันถึงเร็วๆ จุดหมายที่เราเดินทางมา ถึงแล้วสินะ... ระหว่างทางกลับ... กลับรู้สึกว่า... ใครก็ได้ ช่วยทำถนนให้มันยาว ให้มันไกลสุดลูกหูลูกตาเหมือนท้องฟ้าจะได้ไหม ไม่ได้อยากจะย้อนกลับไปนะ แต่อยากจะมีช่วงเวลา "ระหว่างทาง" ให้ยาวนานที่สุด ความสุขมันอยู่ตรงนั้นจริงๆ... ใครที่เดินทางแล้วหลับตลอดทาง อยากให้ลองตื่นมาเจอช่วงเวลา "ระหว่างทาง" ดูบ้างนะคะ ความสุขเหนือสิ่งอื่นใด อยู่ตรงนั้นจริงๆ พูดแล้วก็...เดินทางต่อไปนะ รอเราด้วย :)
:: ณ ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเล็กๆ และมหกรรมคอนเสิร์ตใหญ่ๆ ::
ณ ที่นี้ นิ้วกลมพูดถึงความไม่พอดี ของ "ขนาด" ก๋วยเตี๋ยวเรืออนุสาวรีย์ ทำไมไม่ทำให้ชามใหญ่ จะได้ไม่ต้องสั่งหลายๆชาม ยาคูลท์ ขวดมันเล็กไปมั้ย...? ดูดไม่กี่อึกก็หมด และคอนเสิร์ตใหญ่นักร้องจากเมืองนอกที่เขากำลังจะไปดู แต่กลับรู้สึกว่า... 7 สีคอนเสิร์ต คนยังเยอะกว่านี้เลยว่ะ...
คำถามคือ หากทุกอย่างถูกทำให้พอดีอย่างที่ว่าจริง หากก๋วยเตี๋ยวเรือกินชามเดียวอิ่ม เราก็ไม่ได้สั่งหลายๆ ชามสิ หากยาคูลท์ออกขวดใหม่ขนาดสองลิตร เรายังอยากจะดื่มอยู่มั้ย...? และหากมหกรรมคอนเสิร์ตจัดในฮอล์เล็กๆ แล้วตัดคำว่า "มหกรรม" ออก เรายังจะกระตือรือร้นที่จะดูมันอยู่มั้ย...? อืมมมมม ก็น่าคิดนะ....
เคยมีคนบอกว่า... ความพอดี ไม่มีในโลก... เราเชื่อแล้วล่ะ ว่าจริง :)
:: ณ งานศพ ::
"ถ้าเลือกได้ อยากให้แฟนตายก่อน รึอยากตายก่อนแฟน" คำถามวัดใจ ที่ตอบยาก เพราะยังไม่มีแฟน มีแต่คน(ที่)รัก :)
นิ้วกลมบอกว่า เค้าคิดอยู่เสมอว่า ใครที่ยิ่งร้องไห้ฟูมฟายในงานศพ คนคนนั้นยังมีเรื่องดีๆที่ยังไม่ได้ทำให้กับผู้ตายมากมายนัก ส่วนใครที่ยิ้มแย้มและไม่เสียน้ำตา นั่นมักจะแปลว่า คนคนนั้นได้ทำในสิ่งที่อยากทำมาโดยตลอด ... ณ งานศพ เรามักจะพบคนสองประเภทนี้เสมอ
...โลกแห่งความตาย เป็นยังไง เราก็ไม่รู้ อยากจะลองไปเจอ แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตดูอีกซักครั้ง อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง กับคำถามวัดใจ ถ้าเลือกได้ อยากให้ใครตายก่อน ระหว่างตัวเองกับคนที่เรารัก... วูบหนึ่ง เวลาน้อยใจใครมากๆ โกรธใครมากๆ อยากเห็นภาพงานศพของตัวเอง แล้วมีคนคนนั้นอยู่ในงานศพ อยากรู้ว่าเค้าจะเสียใจบ้างมั้ยที่เราตาย เค้าจะร้องไห้รึเปล่านะ อยากลองตายดูเพื่อเห็นภาพนั้น... อีกห้วงเวลาหนึ่ง ที่เผลอคิดไป ว่าถ้าวันหนึ่ง เรากับคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อน ต้องอยู่กันคนละโลก ก็เผลอคิดไปแบบเป็นคนดี ว่าถ้าเค้าตายก่อน เค้าจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน ไม่ต้องเสียใจอะไร เรายอมเป็นคนเสียใจคนเดียวเองก็ได้นะ ถ้าเราตายก่อน ก็ลำบากเค้าต้องมาจัดงานศพ ลำบากโน่นนี่อีก แต่มันก็เหมือนแช่ง... แต่จริง ๆ แล้ว เราไม่รู้หรอก ว่าใครจะตายก่อนกัน ถ้าเลือกได้... เรามาตายพร้อมกันดีมั้ย
ชีวิตนี้ก็ไปงานศพมาบ้าง ไม่ถือว่าบ่อยนัก...ก็แน่สิ ใครจะอยากไปบ่อย ๆ ล่ะ ที่จำได้ติดตา คืองานศพยาย และตา ยายป่วยเป็นโรคมะเร็ง เป็นครั้งแรกที่จำได้ทุกเหตุการณ์ในงานศพวันนั้น แม้ว่ายายจะอยู่ได้นานกว่าที่หมอบอก แต่ทุกคนก็เสียใจ แม่ และน้องๆของแม่ เสียใจกันหมด สำหรับเรา ขอคิดต่างกับพี่นิ้วอยู่บ้าง การลาจากมันก็เหมือนแผลที่ยังสดอยู่ เป็นแผลแรกๆ ไม่แปลกที่เราต้องร้องไห้เป็นธรรมดา แต่ก็เฉพาะคนที่ใกล้ชิดเท่านั้น เอาแค่เราเองเป็นหลานแท้ ๆ ยังไม่ร้องไห้เลย ...ไม่ใช่ไม่เสียใจนะ แต่เราไม่ร้องไห้ ไม่รู้ทำไม
หนึ่งปีผ่านไป ตาก็ตรอมใจ เมื่อไม่มีเพื่อนคู่ชีวิต ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึก รู้สึกจริงๆ... พอรู้ข่าว น้ำตาก็ไหล มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ก็ตาไม่ได้เป็นอะไร แล้วตาจะตายได้ยังไง ตาจะตายไปทำไม... หมดแล้ว เสาหลัก ผู้ใหญ่ที่คอยเป็นศูนย์กลางของที่บ้าน วันนั้นเสียใจ.. แล้วเราก็ได้รู้ว่า ทำไมเราถึงเสียใจ ก็เพราะเรายังไม่ได้ ทำอะไรต่อมิอะไรให้ตาเลย นี่แหละ ที่วกเข้าสู่คำพูดของพี่นิ้ว เรายังไม่ได้ทำดีต่อกันตอนยังมีชีวิตอยู่ เราใช้ประโยคนี้เตือนตัวเองอยู่เสมอ นับแต่วันนั้น....
เราตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าไม่สาหัสจริงๆ เราจะไม่โกรธ ไม่เกลียดใคร เพราะเราไม่รู้ว่า เราจะมีชีวิตอยู่ ได้มีลมหายใจ ได้ทำอะไรดี ๆ ต่อกันได้อีกนานแค่ไหน... เดินก้าวออกไปจากห้องตอนนี้ ไม่รู้จะได้กลับมาอีกรึเปล่า พยายามนะ...พยายามทำให้หลายๆคู่ที่ไม่ลงรอยกัน กลับมาคืนดีกัน ด้วยเหตุผลนี้ แต่เขาไม่เคยฟัง... ไม่เคยใส่ใจ เราก็จนปัญญา
ไม่นานมานี้ มีเพื่อนร่วมห้อง... ขับรถชน...ตาย เพื่อนที่ไม่ค่อยสนิท และออกแนวไม่ค่อยชอบขี้หน้าด้วยซ้ำ และไม่ได้ติดต่อกันเลยตั้งแต่จบมัธยมมา เสียดายที่ตอนนั้นเราไม่ได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จนวันนี้ก็ต้องตายจากกันซะแล้ว... น่าเสียดาย...
เมื่อเร็ว ๆ นี้... พ่อของพี่ที่สนิท...ขับรถชน...ตาย ใครน่าเห็นใจมากกว่า ระหว่างคนที่อยู่และคนที่ไป คนที่อยู่ ดูจะเสียใจมากกว่า นั่นก็เพราะยังไม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน"มากพอ" รู้ตัวอีกที ก็สายไปเสียแล้ว...
แล้วเราล่ะ ทำดีกับคนที่เรารัก มากพอรึยัง...ใช้เวลาให้คุ้มค่านะคะ "พรุ่งนี้" สำหรับเรา อาจจะไม่มีก็ได้... :)
:: ณ สนามโบว์ลิ่ง ::
คำพูดของครูใหญ่ เช้าวันก่อนสอบ "เชื่อว่าวันนี้ ทุกคนคงกำลังกังวลเรื่องการสอบ ครูอยากจะบอกกับนักเรียนทุกคนว่าอย่าไปกลัวข้อสอบ เพราะถ้ากลัว เธอก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เจอมันแล้ว อะไรก็ตามที่เรากลัวก่อนที่จะลงมือทำ ลงมือต่อสู้กับมัน เราจะแพ้ตั้งแต่ต้น ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ เธอก็จะทำไม่ได้ แต่ถ้าคิดว่าทำได้ เธอก็อาจจะทำมันได้บ้าง เพราะฉะนั้น อย่ากลัวข้อสอบ เดินเข้าห้องสอบด้วยความมั่นใจและคิดว่าเราทำได้ ครูขอให้ทุกคนโชคดี"
นิ้วกลมไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อน "โยนยังไงให้ไม่ตกราง?" ,"โยนยังไงให้สไตรก์?" 2 คำถามที่เกิดขึ้นระหว่างเพื่อน 2 คำถามที่ชวนให้เขานึกถึงคำพูดของครูใหญ่วันนั้น
เขาเคยได้ยินนักจิตวิทยาพูดถึงจินตนาการในหัวของคนเรา การที่เราจะทำสิ่งใดให้เกิดขึ้นนั้น เราต้องเห็น "ภาพสุดท้าย" ที่ชัดเจนเสียก่อน ภาพสุดท้ายที่ว่านั้น ก็เหมือนกันกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ เวลาเรียน...
จากวันนั้น ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็จะนึกถึง "ภาพสุดท้าย" ก่อนเสมอ
มิสเตอร์ ลีโอ เบอร์เนทท์ กล่าวว่า "When you reach for the stars, you may not quite get one, but you won't come up with a handful of mud either"
"เมื่อคุณเอื้อมมือคว้าดาว คุณอาจไม่ได้ดาวเลยสักดวง แต่สิ่งที่ได้ติดมือมาย่อมไม่ใช่โคลนตม"
ลูกโบว์ลิ่งของเพื่อนเขากำลังกลิ้งไปสู่พินทั้งสิบ คราวนี้มันไม่ตกราง...
จะว่าไป...ชีวิตเราไม่เคยตั้งเป้าหมายอะไรขนาดนี้ และสมัยเรียนก็ยังสงสัยอยู่จนทุกวันนี้ ว่า คาบแรกที่เข้าเรียน ทำไมเราจะต้องจดจุดประสงค์การเรียนรู้ตามคำบอกของอาจารย์ไว้ในหน้าแรกของสมุด... ทั้งๆ ที่เรียนจนจบก็ยังไม่เคยเปิดย้อนกลับไปดู ว่ามันได้ครบตามจุดประสงค์มั้ย... เอ๊ะ รึมีแต่เราที่ไม่เคยดู
ชีวิตเราตอนนี้ก็เหมือนกัน มันยังดูไร้จุดหมาย เรายังมองไม่เห็น "ภาพสุดท้าย" ที่เป็นภาพสุดท้ายจริงๆ หากแต่ภาพสุดท้ายในแต่ละวัน มันก็ยังพอแว้บๆเข้ามาในหัวบ้าง ภาพสุดท้ายสำหรับทุกวันนี้ คือต้อง "จบวัน" ให้ได้ดีที่สุด ปัญหามากมายรอให้เราก้าวผ่านไป อาจจะยังไม่เจอจุดหมายที่แท้จริง แค่ก้าวผ่านไปให้ได้ในทุกวัน ก็พอใจแล้ว จริงๆนะ... ลูกโบว์ลิ่งเราไม่สไตรก์ แต่มันก็ไม่ตกรางเหมือนกัน... :)
:: ณ ร้านอาหารทะเล ::
"ผมเชื่อมาตลอดว่าพ่อชอบกินหัวกุ้ง เช่นกันกับพ่อ, แม่ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ฝึกนิสัยไม่รู้จักแทะ ไม่รู้จักแกะเปลือกให้กับผม" นิ้วกลมบอกอย่างนั้น...
นานวันเข้า เขาเริ่มรู้แล้วว่า ที่จริงหัวกุ้งไม่ใช่ส่วนที่อร่อยที่สุด แต่เป็นส่วนที่แกะกินยากที่สุดต่างหาก แต่ทำไมพ่อถึงชอบกิน? พ่อคงอยากให้เราใช้ช้อนตักเนื้อชิ้นๆเข้าปากและเคี้ยวง่ายๆมากกว่าจะต้องใช้มือมาหยิบให้เปื้อน และสิ่งเหล่านั้นนั่นเองที่อาจทำให้พ่อกินอะไรพวกนั้น "อร่อย" ขึ้นจริงๆ "อร่อย" ที่ได้กินส่วนที่กินยาก และให้ลูกๆได้กินส่วนที่กินง่ายๆ
"อร่อย" ตรงที่ได้เห็นลูกๆ "อร่อย"
...สงสัยพ่อแม่จะเป็นอย่างนี้แทบทุกบ้าน ตอนเด็ก ๆ เราก็เข้าใจมาตลอดเหมือนพี่นิ้วนี่แหละ พ่อกับแม่ก็ชอบพูดแบบนี้เหมือนกัน เวลาเราแกะกุ้งและหักเอาหัวกุ้งออกใส่จานใส่เปลือก พ่อจะรีบห้ามแล้วบอกว่า อย่าทิ้ง ๆ ของอร่อย... เราก็มองดู แล้วก็นึกในใจว่า มันมีอะไรอยู่ในหัวกุ้ง ที่มันอร่อยนะ ...โตขึ้นมาก็เลยลองกินดู แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหัวกุ้งนะ ลองกินดูแล้ว มันก็กรุบๆกรอบๆ ออกแนวแหยะๆ ไม่เห็นอร่อยเท่าตัวกุ้งเลย ออกแนวกินเพราะกุ้งมันตัวเล็ก กินหัว ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรกินเสียด้วยซ้ำ
แต่ก็ไม่ใช่แค่กุ้ง ไหนจะหัวปลา ตีนไก่ ตูดเป็ด อีก อันนี้เราไม่กินจริงๆ นะ... เราก็รู้ว่าพ่อแม่กิน เพื่อจะเหลือเนื้อไว้ให้เรากิน แต่ถ้าเลือกได้ก็จะไม่กิน... ทำได้ดีที่สุดก็เพียง กินช้า ๆ กินหัวกุ้งบ้างนิดหน่อย แทะเนื้อแถวๆหัวปลา กินพอเป็นพิธี ทิ้งช่วงเวลา พอให้พ่อกับแม่ มองเห็นเนื้อที่หลงเหลืออยู่ในจาน พอที่จะหยิบขึ้นมากิน เมื่อรู้ว่าลูก ได้กินอิ่มแล้ว :)
-- ยังมีอีก ณ หลาย ๆ ที่ ที่รอให้คุณไปพิสูจน์ --
สถานที่บางแห่ง ไม่ได้มีความหมายเพียงพื้นที่แสดงอาณาเขต และเป็นที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้างใดๆเท่านั้น แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ สถานที่นั้นต่างหากที่มีคุณค่าให้เราได้ระลึกถึงและทบทวน
สถานที่ + เหตุการณ์ x ตัวอักษรของ"นิ้วกลม" = ________
อยากให้ลองหาคำตอบของสมการนี้ในหนังสือเล่มนี้ดูนะคะ แล้วคุณจะรักเค้า "ณ" โดย "นิ้วกลม" ...
Friday, June 24, 2011
แบบนี้เขาเรียกว่าซวย หรืออะไร???
อารมณ์อยากกลับบ้าน
อารมณ์อยากโดดงาน (นาน ๆ จะหาโอกาสได้)
ลางาน 3 วัน (ลายาวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน) จนนายแดกด้วยความเอ็นดูว่า...."มึงไม่ลาออกไปเลยล่ะ!"
ก็เลยตอบไปว่า..."เฮ้ย มึงรู้ได้ไงว่ากูจะลาออก ฉลาดจริงๆ"
ฮ่าๆๆๆ อ่ะล้อเล่น ใครจะบ้าตอบไปแบบนั้นเล่า
เป็นคนไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนไกล ๆ
แต่เวลาได้เดินทาง มักจะชอบซึมซับบรรยากาศ"ระหว่างทาง" ที่สุด
ซึมซับยังไง? ก็พยายามไม่หลับ นั่งมองข้างทาง คิดโน่นนี่ เรื่อยเปื่อย ไปเรื่อย....มีความสุขแบบเหงา ๆ ดี
แต่ "ระหว่างทาง" ไปและกลับ ความรู้สึกโคตรจะต่างกันเลย
ระหว่างทาง"ไป" อยากให้ถึงช้า ๆ แต่ก็อยากให้ถึงเร็ว ๆ (ไม่งงใช่มั้ย?)
ระหว่างทาง"กลับ" อยากให้ถึงช้า ๆ และไม่อยากให้ถึง (วอนคนขับรถขับไปไหนก็ได้ ขับไปเรื่อยๆ)
คราวนี้กลับบ้านมาเพื่อมาทำอะไรบางอย่าง
ต้องลงทุนมาไกลขนาดนี้เลยเหรอ?
กะอีแค่มานั่งปรับ Resume' เพื่อหางานใหม่
คำตอบคือ ใช่... มันต้องใช้การตัดสินใจหลาย ๆ อย่าง
อยู่ที่เดิม...มีแต่ความไม่แน่นอน ทำไปก็แค่รอวันจาก
ความรู้ที่เรียนมา มีแต่จะหดหาย... มันไม่ได้ใช้อะไรเลย
ที่ทำอยู่ทุกวัน ก็ได้เงิน ได้ออกจากห้อง ได้อยู่ห้องแอร์เย็น ๆ
ได้เจอเพื่อนร่วมงาน (ทั้งดีและไม่ดี) แล้วก็ได้เจอเธอ... ฮิ้ววววววววว
******
22 มิ.ย. 54
ลางาน เพื่อเตรียมตัว ไปขึ้นรถทัวร์ที่สายใต้เหมือนเดิม
ออกจากห้องบ่ายสองครึ่ง แบกเสื้อผ้า 1 กระเป๋า กระเป๋าคอมฯ อีก 1 เป้ อีก 1 ...ไอ้บ้าหอบฟางเอ๊ยยยย
มาถึงสายใต้ประมาณบ่ายสามครึ่ง ซื้อตั๋ว "นครศรีราชาทัวร์" เหมือนเดิม...
เอากระเป๋าไปฝาก แล้วก็หาอะไรรองท้อง รอเวลารถออกประมาณทุ่มครึ่ง เหมือนเดิม...
แต่ ชีวิตคงเบื่อความเดิม ๆ ที่เกิดขึ้นเหมือนเดิมตลอด
ไอ้เราก็เข้าใจว่าซื้อตั๋วราคารถ ป.อ. แต่ไฉน กลับได้นั่งรถร้อน มาตลอดทางก็ไม่รู้...?
ทุ่มกว่า ๆ ก็ลงไปรอที่ชานชาลา เกือบทุ่มครึ่งรถก็เข้ามาเทียบ ก็ขึ้นไปนั่งรอบนรถ
ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาล คนเลยไม่เยอะ รถก็ไม่เต็ม ...เออ ดีจริง ๆ
ก่อนรถจะออก ก็มีคนขึ้นมาทำความสะอาดช่องแอร์ข้างหลัง ตรงที่เรานั่งพอดี
ก็ไม่ได้คิดอะไร คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง...กว่ารถจะออก ก็ 2 ทุ่ม... ช้า... ช้าเกินไป
นั่งไปได้ซัก 2 ชั่วโมง ชักรู้สึกตะหงิดๆแล้วล่ะ ทำไมแอร์มันไม่ค่อยเย็นวะ?
เวลาผ่านไป...ชัดเลยว่ามันเสีย คนขับพยายามจะจอดซ่อมอยู่หลายที
แต่ก็ซ่อมไม่ได้ ก็ขับต่อไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ มันเริ่มหายใจไม่ออก...
โชคดีที่เป็นคนอยู่กับความร้อน จนชินกับความร้อนไปแล้ว ก็เลยทนได้
มั่นใจ ว่าตัวเองจะไม่ตายก่อนถึงบ้าน แค่นี้ก็พอแล้ว...
ตีสองครึ่ง เพิ่งถึงจุดพักรถ ซึ่งเท่าที่จำได้ มันต้องถึงประมาณเที่ยงคืนกว่า
ก็ลงไปเข้าห้องน้ำ ซื้อขนม เหมือนเดิม....
ที่นี่ คนขับก็พยายามจะซ่อมแอร์อย่างจริงจังละ
ผู้โดยสารก็ลงไปนั่งรอข้างล่าง อย่างหมดอาลัยตายอยาก
แต่เราไหว นั่งรอบนรถต่อไป เป็นห่วง Notebook มาก มันเพิ่งจะได้ออกงาน 555+
กำลังฟังเพลง เล่นเกม ไปเรื่อย ๆ คุณลุงคนขับก็เดินมาถามว่า
...จะลงไปนั่งรอข้างล่างมั้ย ผมจะไปหาที่ซ่อมแอร์
ตกใจนิดหน่อย ดึงหูฟังออก แล้วก็ถามไปว่า "มีคนไปด้วยมั้ยคะ" คุณลุงตอบว่า "มี" มีงั้นก็ไปค่ะ...
ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้กลัวว่าเค้าจะปล่อยทิ้ง
แต่เราแค่... เป็นห่วง Notebook..ก็มันเพิ่งจะได้ออกงาน 555+
แล้วก็มาคิดอีกที ถ้าเราลงไปรอข้างล่าง เกิดเค้าไม่กลับมารับล่ะ จะทำยังไง???
เออ กูก็ฉลาดเหมือนกันนะเนี่ย 555+
แล้วก็ออกเดินทางต่อ
คนขับก็พยายามหาที่ซ่อมแอร์จริงจัง(อีกที) จนเจอ... แต่...ลงไปเรียกตั้งนาน ก็ไม่มีคนอยู่
ท้ายที่สุดแล้ว กระเป๋าก็เดินมาถามผู้ชายคนข้าง ๆ เราว่า...
ขับไปอย่างนี้ได้มั้ย เปิดประตูไป ถ้ารอรถมาถ่าย ก็คงสว่างโน่นแหละ เค้าก็ตกลง
...แล้วทำไมไม่ถามกูบ้าง? ใช่ซี่ กูไม่ใช่ผู้ชาย!!
เมื่อรู้ชะตากรรมของตัวเองแล้ว ก็เลยส่ง msg บอกแม่ ว่าคงจะถึงช้าหน่อย
แล้วก็นอนฟังเพลงจนหลับไป... ตื่นอีกที เพราะโทรศัพท์สั่น ตอนตีห้า
พ่อโทรมา บอกว่า ออกมารออยู่ บขส. แล้ว!!??
อ้าว แล้วที่อุตส่าห์บอกว่า คงจะถึงช้าหน่อย นี่มันไม่ช่วยเลยใช่ป่ะ?
เลยบอกให้พ่อกลับบ้านไปก่อนมั้ย ค่อยออกมาใหม่
แต่พ่อไม่กลับ บอกว่าไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว (ดื้อเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ )
สรุป...ถึงเกือบ 7 โมง!!
เฮ้อออออ ทั้งเหนื่อยและเพลีย
ประสบการณ์ "ระหว่างทาง" อันแสนน่าจดจำ " 22 มิ.ย.54"
อารมณ์อยากโดดงาน (นาน ๆ จะหาโอกาสได้)
ลางาน 3 วัน (ลายาวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน) จนนายแดกด้วยความเอ็นดูว่า...."มึงไม่ลาออกไปเลยล่ะ!"
ก็เลยตอบไปว่า..."เฮ้ย มึงรู้ได้ไงว่ากูจะลาออก ฉลาดจริงๆ"
ฮ่าๆๆๆ อ่ะล้อเล่น ใครจะบ้าตอบไปแบบนั้นเล่า
เป็นคนไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนไกล ๆ
แต่เวลาได้เดินทาง มักจะชอบซึมซับบรรยากาศ"ระหว่างทาง" ที่สุด
ซึมซับยังไง? ก็พยายามไม่หลับ นั่งมองข้างทาง คิดโน่นนี่ เรื่อยเปื่อย ไปเรื่อย....มีความสุขแบบเหงา ๆ ดี
แต่ "ระหว่างทาง" ไปและกลับ ความรู้สึกโคตรจะต่างกันเลย
ระหว่างทาง"ไป" อยากให้ถึงช้า ๆ แต่ก็อยากให้ถึงเร็ว ๆ (ไม่งงใช่มั้ย?)
ระหว่างทาง"กลับ" อยากให้ถึงช้า ๆ และไม่อยากให้ถึง (วอนคนขับรถขับไปไหนก็ได้ ขับไปเรื่อยๆ)
คราวนี้กลับบ้านมาเพื่อมาทำอะไรบางอย่าง
ต้องลงทุนมาไกลขนาดนี้เลยเหรอ?
กะอีแค่มานั่งปรับ Resume' เพื่อหางานใหม่
คำตอบคือ ใช่... มันต้องใช้การตัดสินใจหลาย ๆ อย่าง
อยู่ที่เดิม...มีแต่ความไม่แน่นอน ทำไปก็แค่รอวันจาก
ความรู้ที่เรียนมา มีแต่จะหดหาย... มันไม่ได้ใช้อะไรเลย
ที่ทำอยู่ทุกวัน ก็ได้เงิน ได้ออกจากห้อง ได้อยู่ห้องแอร์เย็น ๆ
ได้เจอเพื่อนร่วมงาน (ทั้งดีและไม่ดี) แล้วก็ได้เจอเธอ... ฮิ้ววววววววว
******
22 มิ.ย. 54
ลางาน เพื่อเตรียมตัว ไปขึ้นรถทัวร์ที่สายใต้เหมือนเดิม
ออกจากห้องบ่ายสองครึ่ง แบกเสื้อผ้า 1 กระเป๋า กระเป๋าคอมฯ อีก 1 เป้ อีก 1 ...ไอ้บ้าหอบฟางเอ๊ยยยย
มาถึงสายใต้ประมาณบ่ายสามครึ่ง ซื้อตั๋ว "นครศรีราชาทัวร์" เหมือนเดิม...
เอากระเป๋าไปฝาก แล้วก็หาอะไรรองท้อง รอเวลารถออกประมาณทุ่มครึ่ง เหมือนเดิม...
แต่ ชีวิตคงเบื่อความเดิม ๆ ที่เกิดขึ้นเหมือนเดิมตลอด
ไอ้เราก็เข้าใจว่าซื้อตั๋วราคารถ ป.อ. แต่ไฉน กลับได้นั่งรถร้อน มาตลอดทางก็ไม่รู้...?
ทุ่มกว่า ๆ ก็ลงไปรอที่ชานชาลา เกือบทุ่มครึ่งรถก็เข้ามาเทียบ ก็ขึ้นไปนั่งรอบนรถ
ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาล คนเลยไม่เยอะ รถก็ไม่เต็ม ...เออ ดีจริง ๆ
ก่อนรถจะออก ก็มีคนขึ้นมาทำความสะอาดช่องแอร์ข้างหลัง ตรงที่เรานั่งพอดี
ก็ไม่ได้คิดอะไร คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง...กว่ารถจะออก ก็ 2 ทุ่ม... ช้า... ช้าเกินไป
นั่งไปได้ซัก 2 ชั่วโมง ชักรู้สึกตะหงิดๆแล้วล่ะ ทำไมแอร์มันไม่ค่อยเย็นวะ?
เวลาผ่านไป...ชัดเลยว่ามันเสีย คนขับพยายามจะจอดซ่อมอยู่หลายที
แต่ก็ซ่อมไม่ได้ ก็ขับต่อไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ มันเริ่มหายใจไม่ออก...
โชคดีที่เป็นคนอยู่กับความร้อน จนชินกับความร้อนไปแล้ว ก็เลยทนได้
มั่นใจ ว่าตัวเองจะไม่ตายก่อนถึงบ้าน แค่นี้ก็พอแล้ว...
ตีสองครึ่ง เพิ่งถึงจุดพักรถ ซึ่งเท่าที่จำได้ มันต้องถึงประมาณเที่ยงคืนกว่า
ก็ลงไปเข้าห้องน้ำ ซื้อขนม เหมือนเดิม....
ที่นี่ คนขับก็พยายามจะซ่อมแอร์อย่างจริงจังละ
ผู้โดยสารก็ลงไปนั่งรอข้างล่าง อย่างหมดอาลัยตายอยาก
แต่เราไหว นั่งรอบนรถต่อไป เป็นห่วง Notebook มาก มันเพิ่งจะได้ออกงาน 555+
กำลังฟังเพลง เล่นเกม ไปเรื่อย ๆ คุณลุงคนขับก็เดินมาถามว่า
...จะลงไปนั่งรอข้างล่างมั้ย ผมจะไปหาที่ซ่อมแอร์
ตกใจนิดหน่อย ดึงหูฟังออก แล้วก็ถามไปว่า "มีคนไปด้วยมั้ยคะ" คุณลุงตอบว่า "มี" มีงั้นก็ไปค่ะ...
ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้กลัวว่าเค้าจะปล่อยทิ้ง
แต่เราแค่... เป็นห่วง Notebook..ก็มันเพิ่งจะได้ออกงาน 555+
แล้วก็มาคิดอีกที ถ้าเราลงไปรอข้างล่าง เกิดเค้าไม่กลับมารับล่ะ จะทำยังไง???
เออ กูก็ฉลาดเหมือนกันนะเนี่ย 555+
แล้วก็ออกเดินทางต่อ
คนขับก็พยายามหาที่ซ่อมแอร์จริงจัง(อีกที) จนเจอ... แต่...ลงไปเรียกตั้งนาน ก็ไม่มีคนอยู่
ท้ายที่สุดแล้ว กระเป๋าก็เดินมาถามผู้ชายคนข้าง ๆ เราว่า...
ขับไปอย่างนี้ได้มั้ย เปิดประตูไป ถ้ารอรถมาถ่าย ก็คงสว่างโน่นแหละ เค้าก็ตกลง
...แล้วทำไมไม่ถามกูบ้าง? ใช่ซี่ กูไม่ใช่ผู้ชาย!!
เมื่อรู้ชะตากรรมของตัวเองแล้ว ก็เลยส่ง msg บอกแม่ ว่าคงจะถึงช้าหน่อย
แล้วก็นอนฟังเพลงจนหลับไป... ตื่นอีกที เพราะโทรศัพท์สั่น ตอนตีห้า
พ่อโทรมา บอกว่า ออกมารออยู่ บขส. แล้ว!!??
อ้าว แล้วที่อุตส่าห์บอกว่า คงจะถึงช้าหน่อย นี่มันไม่ช่วยเลยใช่ป่ะ?
เลยบอกให้พ่อกลับบ้านไปก่อนมั้ย ค่อยออกมาใหม่
แต่พ่อไม่กลับ บอกว่าไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว (ดื้อเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ )
สรุป...ถึงเกือบ 7 โมง!!
เฮ้อออออ ทั้งเหนื่อยและเพลีย
ประสบการณ์ "ระหว่างทาง" อันแสนน่าจดจำ " 22 มิ.ย.54"
Sunday, May 22, 2011
อะไรก็ไม่รู้
ความขี้เกียจ มันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ อยากบ่นแทบแย่ แต่ขี้เกียจเขียน...
น่าจะมีเครื่องบันทึกความคิดเนอะ คิดอะไรก็แปลงออกเป็นตัวอักษร ...โดราเอมอนช่วยด้วย!!!
เรื่องที่ 1 --
หลังเลิกงานเย็นวันหนึ่ง ออกเร็วเพื่อไปหาอะไรกิน เตี๋ยวไก่เจ้าอร่อย
เดินๆ เท้าพลิก รองเท้าส้นหัก! เสียเวลาไปเดินหาซื้อรองเท้าอีกเกือบชั่วโมง
เรื่องที่ 2 --
จะไปงานคอมมาร์ท ซื้อตั๋วใต้ดิน เคาน์เตอร์แถวยาว กดเองดีกว่า เพื่อนอยู่หน้า เราต่อหลัง
เพื่อนหยอดเสร็จ เราหยอดตาม ทันใดนั้น แบงค์ไหลกลับ เหรียญหล่นคืน
พร้อมกับข้อความที่ขึ้นมาว่า "ขออภัย งดใช้บริการชั่วคราว"
...แล้วก็ไปต่อคิวซื้อที่เคาน์เตอร์เหมือมเดิม...
เรื่องที่ 3 --
วันเสาร์และวันอาทิตย์มีสอบ ตัดสินใจโดดสอบวันเสาร์ เพราะไม่มีอะไรจะไปสอบจริงๆ
วันเสาร์จะได้อ่านวิชาที่สอบวันอาทิตย์ ด้วยความขี้เกียจ บ่ายแล้วยังไม่ได้อ่าน เล่นแต่เกม
บังเอิญกดดู note ในมือถือ แล้วก็พบว่า...โดดสอบผิดวิชา!!
ดีนะ ไม่ขยันอ่านมาทั้งวัน 555+
เรื่องที่ 4 --
จะไปสอบวันอาทิตย์ ก็อ่านหนังสือบ้าง เล่นเกมเป็นส่วนใหญ่
ตั้งนาฬิกาปลุกตี 3 กะตื่นมาอ่าน... ตื่นอีกที 6.15 น.
อ่ะไม่เป็นไร รีบอาบน้ำแต่งตัว ไปนั่งอ่านหน้าห้องสอบ
9.20 น. ได้เวลาเข้าห้องสอบ เตรียมอุปกรณ์ หลักฐานเข้าห้องสอบ
บัตรประชาชน-มี ใบเสร็จลงทะเบียน-มี บัตรนักศึกษา-อยู่ไหน??
...นึกได้ อยู่ในสมุดลงทะเบียนเรียน ไม่ได้เอามา ...แล้วถ่อมาแต่เช้า ถึงเวลาสอบ-กลับ...
อนาถจริงๆ ชีวิต ไม่กล้าบอกใคร ขอเก็บความผิดพลาดไว้คนเดียว...
สมมติว่าสอบตกละกัน...โอกาสสุดท้าย สิงหานี้ ต้องผ่านทั้ง 3 วิชา
แม่บอกว่าแม่เหนื่อยแล้ว เมื่อไหร่จะจบ...
เล็กไม่อยากทำให้แม่ผิดหวัง แต่มันก็พลาด มันก็ได้แค่นี้ ยังพยายามไม่มากพอ ทำยังไงดี??
น่าจะมีเครื่องบันทึกความคิดเนอะ คิดอะไรก็แปลงออกเป็นตัวอักษร ...โดราเอมอนช่วยด้วย!!!
เรื่องที่ 1 --
หลังเลิกงานเย็นวันหนึ่ง ออกเร็วเพื่อไปหาอะไรกิน เตี๋ยวไก่เจ้าอร่อย
เดินๆ เท้าพลิก รองเท้าส้นหัก! เสียเวลาไปเดินหาซื้อรองเท้าอีกเกือบชั่วโมง
เรื่องที่ 2 --
จะไปงานคอมมาร์ท ซื้อตั๋วใต้ดิน เคาน์เตอร์แถวยาว กดเองดีกว่า เพื่อนอยู่หน้า เราต่อหลัง
เพื่อนหยอดเสร็จ เราหยอดตาม ทันใดนั้น แบงค์ไหลกลับ เหรียญหล่นคืน
พร้อมกับข้อความที่ขึ้นมาว่า "ขออภัย งดใช้บริการชั่วคราว"
...แล้วก็ไปต่อคิวซื้อที่เคาน์เตอร์เหมือมเดิม...
เรื่องที่ 3 --
วันเสาร์และวันอาทิตย์มีสอบ ตัดสินใจโดดสอบวันเสาร์ เพราะไม่มีอะไรจะไปสอบจริงๆ
วันเสาร์จะได้อ่านวิชาที่สอบวันอาทิตย์ ด้วยความขี้เกียจ บ่ายแล้วยังไม่ได้อ่าน เล่นแต่เกม
บังเอิญกดดู note ในมือถือ แล้วก็พบว่า...โดดสอบผิดวิชา!!
ดีนะ ไม่ขยันอ่านมาทั้งวัน 555+
เรื่องที่ 4 --
จะไปสอบวันอาทิตย์ ก็อ่านหนังสือบ้าง เล่นเกมเป็นส่วนใหญ่
ตั้งนาฬิกาปลุกตี 3 กะตื่นมาอ่าน... ตื่นอีกที 6.15 น.
อ่ะไม่เป็นไร รีบอาบน้ำแต่งตัว ไปนั่งอ่านหน้าห้องสอบ
9.20 น. ได้เวลาเข้าห้องสอบ เตรียมอุปกรณ์ หลักฐานเข้าห้องสอบ
บัตรประชาชน-มี ใบเสร็จลงทะเบียน-มี บัตรนักศึกษา-อยู่ไหน??
...นึกได้ อยู่ในสมุดลงทะเบียนเรียน ไม่ได้เอามา ...แล้วถ่อมาแต่เช้า ถึงเวลาสอบ-กลับ...
อนาถจริงๆ ชีวิต ไม่กล้าบอกใคร ขอเก็บความผิดพลาดไว้คนเดียว...
สมมติว่าสอบตกละกัน...โอกาสสุดท้าย สิงหานี้ ต้องผ่านทั้ง 3 วิชา
แม่บอกว่าแม่เหนื่อยแล้ว เมื่อไหร่จะจบ...
เล็กไม่อยากทำให้แม่ผิดหวัง แต่มันก็พลาด มันก็ได้แค่นี้ ยังพยายามไม่มากพอ ทำยังไงดี??
Tuesday, May 17, 2011
เทวดาปวดฉี่แต่เช้าเลย
เปิดเทอมวันแรก ฝนตก... รถคงติด สงสารเด็กๆ ต้องไปโรงเรียนสาย 555+
ผู้ใหญ่บางคน มักใช้คำพูดที่ว่า "ฝนตก รถติด" เป็นข้ออ้างในการไปทำงานสายเหมือนกันนะ...
เอาน่า เรายังเคยปวดฉี่แต่เช้า ต้องลุกขึ้นมาฉี่ มันก็ไม่ผิด ที่เทวดาจะปวดฉี่ตอนเช้า ^__^
ผู้ใหญ่บางคน มักใช้คำพูดที่ว่า "ฝนตก รถติด" เป็นข้ออ้างในการไปทำงานสายเหมือนกันนะ...
เอาน่า เรายังเคยปวดฉี่แต่เช้า ต้องลุกขึ้นมาฉี่ มันก็ไม่ผิด ที่เทวดาจะปวดฉี่ตอนเช้า ^__^
Another new place ^^
หาแหล่งใหม่ได้อีกแล้ว 555+
ตาม @aom_sukanya มาล่ะ เธอไปไหน เราจะไปที่นั่น อิอิ
ไว้วันหลังจะมาอัพใหม่ มาอัพเรื่อย ๆ อัพให้ได้นาน ๆ เราจะไม่ทิ้งๆ ขว้างๆ เธอนะ ^__^
ตาม @aom_sukanya มาล่ะ เธอไปไหน เราจะไปที่นั่น อิอิ
ไว้วันหลังจะมาอัพใหม่ มาอัพเรื่อย ๆ อัพให้ได้นาน ๆ เราจะไม่ทิ้งๆ ขว้างๆ เธอนะ ^__^
Subscribe to:
Posts (Atom)