ตื่นมาพร้อมความรู้สึกที่ว่า...
อยากเขียนนิยาย
อยากให้พระเอกนางเอกหน้าตาแบบที่ตัวเองอยากให้เป็น
อยากให้นิยายจบแบบที่ใจตัวเองต้องการ
เขียนไม่เป็นหรอก แต่อยากลอง
แล้วมาติดตามไปพร้อมๆกันนะ...
ให้เวลาตัวเองซัก 1 ปี เขียนเล่นๆ
เอาใจช่วยให้ตัวเองอดทนเขียนให้จบให้ได้
แต่ขอกลับไปคิดก่อนว่าจะเริ่มต้นยังไง plot เรื่องเป็นแนวไหน
คิดออกแล้วจะมาเล่าให้ฟัง ^_^
Sunday, September 30, 2012
Friday, September 28, 2012
ภาพติดใจ
...มันผ่านมาแล้ว
ก็แค่เรื่องธรรมดาที่เราได้เห็น และมันติดตา ติดใจ...
เย็นหลังเลิกงานวันหนึ่ง ขึ้นรถเมล์ร้อนเพื่อไปเรียน
คนก็ไม่ถือว่าแน่นมาก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้นั่งนะ
มีแม่ลูกคู่หนึ่งขึ้นรถเมล์มา แล้วก็ไม่มีที่นั่ง
ลูกใส่ชุดเนตรนารีเสนาสีเขียว ก็น่าจะ ป.5-ป.6 ไม่แน่ใจ
ด้วยความที่เค้าคงจะลงในอีกไม่กี่ป้าย
หรือด้วยอะไรก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครลุกให้เค้านั่ง
ก็เลยยืนอยู่ตรงประตูกันทั้งแม่ลูก
ผ่านไปซัก 2 ป้าย ปรากฎว่า เด็กมีอาการเหมือนจะเป็นลม
แม่ก็เลยพยุงตัวลูกไว้ ผู้หญิงที่นั่งตรงนั้นก็เลยต้องลุกให้เด็กนั่ง (อย่างเสียไม่ได้)
แม่เด็กก็แกะผ้าพันคอ แล้วก็ปลดกระดุมคอออก
กระเป๋ารถเมล์ก็กุลีกุจอหายาดมมาให้
ผู้หญิงคนข้างๆก็ช่วยเอาชีทที่พกมาพัดให้
ผู้หญิงคนข้างหลังก็ช่วยบีบๆนวดๆให้
แล้วก็ถึงป้ายที่แม่ลูกคู่นี้จะลงรถเมล์
มีผู้ชายคนหนึ่งมากดกริ่งเตรียมลง
แม่ก็เตรียมพยุงลูกให้ลุกขึ้นเพื่อจะลงรถเมล์
แล้วก็หันมาพูดกับคนรอบข้างว่า "ขอบคุณนะคะ"
แล้วผู้ชายคนนั้นก็อุ้มเด็กผู้หญิงลงจากรถเมล์
...เราเชื่อว่า ต้องมีคำว่า "ขอบคุณนะคะ" ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ที่ป้ายรถเมล์นั้น จากแม่ของเด็กหญิง สู่ชายมีน้ำใจคนนั้น
...ก็แค่เรื่องธรรมดา แต่รู้สึกดีที่ได้เห็น
หนึ่งเรื่องดีๆ ที่สังคมไทยยังพอมีอยู่บ้าง
อิ่ม :)
ก็แค่เรื่องธรรมดาที่เราได้เห็น และมันติดตา ติดใจ...
เย็นหลังเลิกงานวันหนึ่ง ขึ้นรถเมล์ร้อนเพื่อไปเรียน
คนก็ไม่ถือว่าแน่นมาก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้นั่งนะ
มีแม่ลูกคู่หนึ่งขึ้นรถเมล์มา แล้วก็ไม่มีที่นั่ง
ลูกใส่ชุดเนตรนารีเสนาสีเขียว ก็น่าจะ ป.5-ป.6 ไม่แน่ใจ
ด้วยความที่เค้าคงจะลงในอีกไม่กี่ป้าย
หรือด้วยอะไรก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครลุกให้เค้านั่ง
ก็เลยยืนอยู่ตรงประตูกันทั้งแม่ลูก
ผ่านไปซัก 2 ป้าย ปรากฎว่า เด็กมีอาการเหมือนจะเป็นลม
แม่ก็เลยพยุงตัวลูกไว้ ผู้หญิงที่นั่งตรงนั้นก็เลยต้องลุกให้เด็กนั่ง (อย่างเสียไม่ได้)
แม่เด็กก็แกะผ้าพันคอ แล้วก็ปลดกระดุมคอออก
กระเป๋ารถเมล์ก็กุลีกุจอหายาดมมาให้
ผู้หญิงคนข้างๆก็ช่วยเอาชีทที่พกมาพัดให้
ผู้หญิงคนข้างหลังก็ช่วยบีบๆนวดๆให้
แล้วก็ถึงป้ายที่แม่ลูกคู่นี้จะลงรถเมล์
มีผู้ชายคนหนึ่งมากดกริ่งเตรียมลง
แม่ก็เตรียมพยุงลูกให้ลุกขึ้นเพื่อจะลงรถเมล์
แล้วก็หันมาพูดกับคนรอบข้างว่า "ขอบคุณนะคะ"
แล้วผู้ชายคนนั้นก็อุ้มเด็กผู้หญิงลงจากรถเมล์
...เราเชื่อว่า ต้องมีคำว่า "ขอบคุณนะคะ" ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ที่ป้ายรถเมล์นั้น จากแม่ของเด็กหญิง สู่ชายมีน้ำใจคนนั้น
...ก็แค่เรื่องธรรมดา แต่รู้สึกดีที่ได้เห็น
หนึ่งเรื่องดีๆ ที่สังคมไทยยังพอมีอยู่บ้าง
อิ่ม :)
Friday, September 21, 2012
บันทึกจับฉ่าย
นานแล้ว...ที่ไม่ได้เข้ามาเขียน Blog ที่นี่
ก็ต้องโทษเวลาอีกแล้ว ที่ทำให้ที่แห่งนี้รกร้างว่างเปล่า
ตอนนี้เรากำลังมีชีวิตอยู่ในเดือนที่ 9 ของปี 2012
ปีที่เราไปดูหนังมา แล้วหนังบอกว่าปีนี้โลกจะแตก
แต่เราก็อยู่มา 9 เดือนแล้ว ...ทำไมมันไม่แตกเสียที
เราคงต้องทนอยู่บนโลกนี้เกินกว่าปี 2012 ใช่ไหม
ผิดแผนเลยนะเนี่ย....
มีคนบอกว่า ชีวิตควรเหลืออะไรที่อยากทำไว้บ้าง
จะได้มีอะไรให้รอคอย จะได้มีอะไรให้คาดหวัง
แต่เราว่า ถ้าเรามีโอกาส เราไม่อยากเหลืออะไรที่อยากทำไว้หรอก
เราจะทำมันให้หมด ทำให้ได้ในทุกๆครั้งที่มีโอกาสจะทำ
...แต่โอกาสนี่ล่ะ ช่างหายากเสียเหลือเกิน
มาถึงตอนนี้...เราก็ไม่เสียใจแล้วนะ
อย่างน้อย ได้ทำงานที่"คิดว่า" ตัวเองอยากทำ
ได้เรียนในสิ่งที่ "ไม่คิดว่า" ตัวเองจะได้เรียน
ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจ ไปพร้อมๆกัน
ธรรมดาซะที่ไหน :)
แต่ถามว่าทุกอย่างมันเป็นอย่างที่ใจคิดไหม
ก็ไม่ทุกอย่าง งานที่อยากทำ ใช่ว่าจะเป็นงานที่ชอบ
เรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด ใช่ว่าเราจะทำไม่ได้
แค่ต้องใส่ความพยายาม และความรัก ลงไปในสิ่งที่ทำ
ก็แค่นั้นเอง...
เปลี่ยนโหมดบ้างดีกว่า
เรามีอะไรจะโม้ล่ะ ถึงเราจะว่ายน้ำไม่เป็น
แต่เราก็แอบหนีแม่ไปเที่ยวทะเลมาแล้วนะ
อย่าไปบอกแม่ล่ะ อิอิ
ถึงจะไปแบบไม่สนุกก็ตาม
ทำไมถึงไม่สนุก?
อาจเป็นเพราะเรายังไม่เปิดใจรับกลุ่มคนเหล่านั้น
ไม่รู้สิ เรารู้สึกได้ว่า เรายังไม่พร้อมจะให้เขาเข้ามาในชีวิต
ไม่พร้อมจะเอาชีวิตเข้าไปผูกพันกับพวกเขา
มันรู้สึกได้...
มีคนบอกว่า ในช่วงชีวิตหนึ่ง มีคนรู้จักหลายคน ที่ต้องกลายเป็นคนไม่รู้จัก
จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราทำหลายคนหายไปจากชีวิต
แต่เราก็มีคนกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตแทนที่คนที่หายไปอยู่ตลอด
มันเป็นโชคชะตารึว่าความตั้งใจกันนะ...
เราเคยบอกตัวเองไว้ว่า ชาตินี้ถ้าไม่แสนสาหัสจริงๆ
เราจะไม่โกรธหรือทะเลาะกับใคร ก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ด้วยกันไปอีกนานเท่าไหร่นี่นา
บางทีปลายปีนี้ โลกอาจจะแตกก็ได้ ใครจะไปรู้
แต่ที่สุดแล้ว ความพยายามเราก็ไม่เป็นผล
เมื่อคนบางคน เขาก็พร้อมจะตัดเราออกจากชีวิตของเขาอยู่เหมือนกัน
ก็เลยมีคนบอกเราว่า ช่างมันเหอะ
แค่คนๆเดียว ลืมๆไปเหอะว่าเคยรู้จัก
...เสียใจที่มันเป็นแบบนี้ แต่ก็ตั้งใจแล้วว่า
ชีวิตคนเรา มันก็ต้องมีศักดิ์ศรี ไม่มีเขาเราก็ไม่ตาย ก็แค่นั้น...
วกกลับไปเรื่องทะเลต่อดีกว่า
การไปทะเลคราวนี้ ไปในช่วงที่ฝนตก
ไม่ได้เห็นเดือน เห็นตะวันเลย น่าเสียดาย...
อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะตื่นมาดูดวงอาทิตย์ขึ้น
ตื่นมาก็ยังไม่เห็น ก็ดีใจว่าตัวเองตื่นมาทันดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น
ที่ไหนได้... วันนั้นเราก็ไม่ได้เจอดวงอาทิตย์เลย
ทำไม ทำไม ดวงอาทิตย์อู้งาน ปล่อยให้เรารอเก้อ
เอาเป็นว่าไปทะเลไม่สนุกก็แล้วกันนะ
แต่หลายคนพอได้เห็นรูปแล้วกลับคิดว่ามันสนุก
...ใครจะเอารูปที่มันดูไม่สนุกมาลง จริงมั้ย...?
เรียกได้ว่า ไม่มีรูปที่ไม่สนุกเลยล่ะ
ถ้ามันไม่สนุก เราก็คงไม่อยากเก็บมันไว้ จริงมั้ย...?
เคยอิจฉาใครมั้ย...? (ต้องเคยสิ)
เคยอยากเป็นโน่นนี่นั่น อยากทำโน่นนี่นั่น อยากไปโน่นนี่นั่น
เหมือนที่คนอื่นมีโอกาสได้ทำมั้ย...? (ตอนนี้ก็ยังรู้สึกอยู่)
แต่ก็อยากให้ลองมองในอีกแง่หนึ่งดูบ้าง
เราเชื่อว่า มันต้องมีคนที่อิจฉาเราอยู่บ้าง
อย่าพยายามเอาชีวิตไปผูกไว้กับคนอื่นมากนัก
แต่ให้พยายามมีความสุขให้ได้ในแบบของเรา
แค่เราใช้ชีวิตให้มีความสุขในแบบของเรา
เราเชื่อว่า มันต้องมีคนอิจฉาเราแล้วล่ะ
และเชื่อเราเถอะ ว่าคนอื่น เขาจะอิจฉาที่เรามีความสุข :)
สุขใครสุขมัน สุกๆดิบๆ คละเคล้ากันไป ธรรมดาของชีวิต...
ความสุขอีกอย่างหนึ่งของเราตอนนี้ คือการได้ "เรียน"
หลังจากผ่านชีวิตการทำงานมาซักพักหนึ่งแล้ว
ทำงานที่ไม่ตรงกับที่ตัวเองเรียนมา แล้วคิดว่าตัวเองจะไม่ได้พัฒนา
ต้องขอโทษจริงๆ ที่เคยรู้สึกอย่างนั้น
พอได้มาเรียนแล้วก็เลยได้รู้ว่า งานที่ทำมาตลอดนั่นแหละ
คือบทเรียนสำคัญ ที่เราหาไม่ได้ในห้องเรียน
ถ้าไม่ได้ทำงานที่นั่น เราก็คงไม่เข้าใจในสิ่งที่เรียนมากขนาดนี้
อีกหนึ่งความสุขที่ได้จากการเรียน ก็คือ
การได้มีอีกสังคมหนึ่งในชีวิต
บางครั้งเราก็รู้ว่าเราไม่ชอบสิ่งที่เรียนหรอก เราคงทำได้ไม่ดีหรอก
แต่เราก็รู้ว่า อย่างน้อยเราก็ยังมีเพื่อน มีคนที่ทำให้เราอยากจะไปเรียน
แต่ก็อย่างที่บอก...เราต้องใส่ความรักและความตั้งใจลงไปด้วย
เราไม่เก่งเลข เราไม่มีหัวทางด้านนี้
มันทำให้เราเหนื่อยกว่าคนอื่น ไปเรียนทีไรเหมือนสมองมันไม่ยอมรับ
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็คือ กลัว กลัวว่ามันจะไปไม่รอด
แต่อีกความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็คือ มันต้องทำได้ดิวะ
กูไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ พยายามคิดว่า
ต้นทุนเราน้อยกว่าคนอื่น เราก็ต้องใช้ความพยายามให้มากกว่าคนอื่นหลายเท่า
เพื่อที่เราจะ "เท่า" คนอื่นได้ เชื่อป่ะล่ะ ว่าเราทำได้ :)
ว่าแล้วก็...ทำการบ้านดีกว่าเนอะ
ไว้จะมาเล่าให้ฟังใหม่ บ๊าย บาย จุ๊บ ๆ ^__^
ก็ต้องโทษเวลาอีกแล้ว ที่ทำให้ที่แห่งนี้รกร้างว่างเปล่า
ตอนนี้เรากำลังมีชีวิตอยู่ในเดือนที่ 9 ของปี 2012
ปีที่เราไปดูหนังมา แล้วหนังบอกว่าปีนี้โลกจะแตก
แต่เราก็อยู่มา 9 เดือนแล้ว ...ทำไมมันไม่แตกเสียที
เราคงต้องทนอยู่บนโลกนี้เกินกว่าปี 2012 ใช่ไหม
ผิดแผนเลยนะเนี่ย....
มีคนบอกว่า ชีวิตควรเหลืออะไรที่อยากทำไว้บ้าง
จะได้มีอะไรให้รอคอย จะได้มีอะไรให้คาดหวัง
แต่เราว่า ถ้าเรามีโอกาส เราไม่อยากเหลืออะไรที่อยากทำไว้หรอก
เราจะทำมันให้หมด ทำให้ได้ในทุกๆครั้งที่มีโอกาสจะทำ
...แต่โอกาสนี่ล่ะ ช่างหายากเสียเหลือเกิน
มาถึงตอนนี้...เราก็ไม่เสียใจแล้วนะ
อย่างน้อย ได้ทำงานที่"คิดว่า" ตัวเองอยากทำ
ได้เรียนในสิ่งที่ "ไม่คิดว่า" ตัวเองจะได้เรียน
ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจ ไปพร้อมๆกัน
ธรรมดาซะที่ไหน :)
แต่ถามว่าทุกอย่างมันเป็นอย่างที่ใจคิดไหม
ก็ไม่ทุกอย่าง งานที่อยากทำ ใช่ว่าจะเป็นงานที่ชอบ
เรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด ใช่ว่าเราจะทำไม่ได้
แค่ต้องใส่ความพยายาม และความรัก ลงไปในสิ่งที่ทำ
ก็แค่นั้นเอง...
เปลี่ยนโหมดบ้างดีกว่า
เรามีอะไรจะโม้ล่ะ ถึงเราจะว่ายน้ำไม่เป็น
แต่เราก็แอบหนีแม่ไปเที่ยวทะเลมาแล้วนะ
อย่าไปบอกแม่ล่ะ อิอิ
ถึงจะไปแบบไม่สนุกก็ตาม
ทำไมถึงไม่สนุก?
อาจเป็นเพราะเรายังไม่เปิดใจรับกลุ่มคนเหล่านั้น
ไม่รู้สิ เรารู้สึกได้ว่า เรายังไม่พร้อมจะให้เขาเข้ามาในชีวิต
ไม่พร้อมจะเอาชีวิตเข้าไปผูกพันกับพวกเขา
มันรู้สึกได้...
มีคนบอกว่า ในช่วงชีวิตหนึ่ง มีคนรู้จักหลายคน ที่ต้องกลายเป็นคนไม่รู้จัก
จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราทำหลายคนหายไปจากชีวิต
แต่เราก็มีคนกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตแทนที่คนที่หายไปอยู่ตลอด
มันเป็นโชคชะตารึว่าความตั้งใจกันนะ...
เราเคยบอกตัวเองไว้ว่า ชาตินี้ถ้าไม่แสนสาหัสจริงๆ
เราจะไม่โกรธหรือทะเลาะกับใคร ก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ด้วยกันไปอีกนานเท่าไหร่นี่นา
บางทีปลายปีนี้ โลกอาจจะแตกก็ได้ ใครจะไปรู้
แต่ที่สุดแล้ว ความพยายามเราก็ไม่เป็นผล
เมื่อคนบางคน เขาก็พร้อมจะตัดเราออกจากชีวิตของเขาอยู่เหมือนกัน
ก็เลยมีคนบอกเราว่า ช่างมันเหอะ
แค่คนๆเดียว ลืมๆไปเหอะว่าเคยรู้จัก
...เสียใจที่มันเป็นแบบนี้ แต่ก็ตั้งใจแล้วว่า
ชีวิตคนเรา มันก็ต้องมีศักดิ์ศรี ไม่มีเขาเราก็ไม่ตาย ก็แค่นั้น...
วกกลับไปเรื่องทะเลต่อดีกว่า
การไปทะเลคราวนี้ ไปในช่วงที่ฝนตก
ไม่ได้เห็นเดือน เห็นตะวันเลย น่าเสียดาย...
อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะตื่นมาดูดวงอาทิตย์ขึ้น
ตื่นมาก็ยังไม่เห็น ก็ดีใจว่าตัวเองตื่นมาทันดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น
ที่ไหนได้... วันนั้นเราก็ไม่ได้เจอดวงอาทิตย์เลย
ทำไม ทำไม ดวงอาทิตย์อู้งาน ปล่อยให้เรารอเก้อ
เอาเป็นว่าไปทะเลไม่สนุกก็แล้วกันนะ
แต่หลายคนพอได้เห็นรูปแล้วกลับคิดว่ามันสนุก
...ใครจะเอารูปที่มันดูไม่สนุกมาลง จริงมั้ย...?
เรียกได้ว่า ไม่มีรูปที่ไม่สนุกเลยล่ะ
ถ้ามันไม่สนุก เราก็คงไม่อยากเก็บมันไว้ จริงมั้ย...?
เคยอิจฉาใครมั้ย...? (ต้องเคยสิ)
เคยอยากเป็นโน่นนี่นั่น อยากทำโน่นนี่นั่น อยากไปโน่นนี่นั่น
เหมือนที่คนอื่นมีโอกาสได้ทำมั้ย...? (ตอนนี้ก็ยังรู้สึกอยู่)
แต่ก็อยากให้ลองมองในอีกแง่หนึ่งดูบ้าง
เราเชื่อว่า มันต้องมีคนที่อิจฉาเราอยู่บ้าง
อย่าพยายามเอาชีวิตไปผูกไว้กับคนอื่นมากนัก
แต่ให้พยายามมีความสุขให้ได้ในแบบของเรา
แค่เราใช้ชีวิตให้มีความสุขในแบบของเรา
เราเชื่อว่า มันต้องมีคนอิจฉาเราแล้วล่ะ
และเชื่อเราเถอะ ว่าคนอื่น เขาจะอิจฉาที่เรามีความสุข :)
สุขใครสุขมัน สุกๆดิบๆ คละเคล้ากันไป ธรรมดาของชีวิต...
ความสุขอีกอย่างหนึ่งของเราตอนนี้ คือการได้ "เรียน"
หลังจากผ่านชีวิตการทำงานมาซักพักหนึ่งแล้ว
ทำงานที่ไม่ตรงกับที่ตัวเองเรียนมา แล้วคิดว่าตัวเองจะไม่ได้พัฒนา
ต้องขอโทษจริงๆ ที่เคยรู้สึกอย่างนั้น
พอได้มาเรียนแล้วก็เลยได้รู้ว่า งานที่ทำมาตลอดนั่นแหละ
คือบทเรียนสำคัญ ที่เราหาไม่ได้ในห้องเรียน
ถ้าไม่ได้ทำงานที่นั่น เราก็คงไม่เข้าใจในสิ่งที่เรียนมากขนาดนี้
อีกหนึ่งความสุขที่ได้จากการเรียน ก็คือ
การได้มีอีกสังคมหนึ่งในชีวิต
บางครั้งเราก็รู้ว่าเราไม่ชอบสิ่งที่เรียนหรอก เราคงทำได้ไม่ดีหรอก
แต่เราก็รู้ว่า อย่างน้อยเราก็ยังมีเพื่อน มีคนที่ทำให้เราอยากจะไปเรียน
แต่ก็อย่างที่บอก...เราต้องใส่ความรักและความตั้งใจลงไปด้วย
เราไม่เก่งเลข เราไม่มีหัวทางด้านนี้
มันทำให้เราเหนื่อยกว่าคนอื่น ไปเรียนทีไรเหมือนสมองมันไม่ยอมรับ
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็คือ กลัว กลัวว่ามันจะไปไม่รอด
แต่อีกความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็คือ มันต้องทำได้ดิวะ
กูไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ พยายามคิดว่า
ต้นทุนเราน้อยกว่าคนอื่น เราก็ต้องใช้ความพยายามให้มากกว่าคนอื่นหลายเท่า
เพื่อที่เราจะ "เท่า" คนอื่นได้ เชื่อป่ะล่ะ ว่าเราทำได้ :)
ว่าแล้วก็...ทำการบ้านดีกว่าเนอะ
ไว้จะมาเล่าให้ฟังใหม่ บ๊าย บาย จุ๊บ ๆ ^__^
Subscribe to:
Posts (Atom)