Monday, July 4, 2016

SiNG STREET - หนังที่ทำให้เราอิจฉาในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวละคร :)

Blog แรกของปี 
แด่.. Sing Street :)


จะดีแค่ไหน...
ถ้าเรามีคนที่พร้อมจะเปิดประตูบ้านต้อนรับเรากลางดึก แค่เราบอกว่า ช่วยแต่งเพลงหน่อยได้มั้ย

จะดีแค่ไหน...
ถ้าเรามีคนที่ยอมเสี่ยงที่จะทำอะไรบ้าๆ ไปพร้อมๆ กัน แม้จะรู้ว่า สิ่งที่กำลังทำมันโคตรบ้า 

จะดีแค่ไหน...
ถ้าเรากล้าที่จะแหกกฎ ที่ไม่สามารถอธิบายที่มาที่ไปให้เรายอมรับได้ 

จะดีแค่ไหน...
ถ้ามีคนเห็นเรามีความสำคัญ ในขณะที่เราไม่เคยแม้แต่จะเห็นว่าเรามีดี

จะดีแค่ไหน...
ถ้าเรามีคนที่พร้อมรับฟังเรื่องราวเด็กๆ ของเรา แนะนำเราได้ โดยที่เราไม่เคยรู้เลยว่า 
เค้าต้องเจออะไรมาบ้าง เราไม่เคยแม้แต่จะรู้เลยว่าเค้ารับมือกับปัญหาแบบนั้นได้ยังไง

จะดีแค่ไหน...
ถ้าเรามีคนที่เรายอมทุ่มเททำอะไรที่เราไม่เคยทำ เพื่อให้ใครคนนั้นหันมามองเรา

จะดีแค่ไหน...
ถ้าเรามีคนที่เรายอมทิ้งทุกอย่างแล้วออกเดินทางไปด้วยกัน โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอนาคตจะเป็นยังไง 
แต่ก็นั่นล่ะ สเน่ห์ของอนาคต อนาคตที่เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น :)

...โคตรน่าอิจฉาเลยใช่มั้ย นี่ล่ะ ที่เราอิจฉาตัวละครในหนังเรื่องนี้ 
แต่ใช่ว่า ทุกอย่างจะดี จะสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง 

เด็กอายุ 15 ครอบครัวมีปัญหา พ่อแม่กำลังจะเลิกกัน ต้องขายบ้าน ย้ายโรงเรียน
มีปัญหากับครู ชอบคนที่มีแฟนแล้ว 

มีความฝัน มีคนรัก มีอาชีพที่ดี แต่พอเวลาผ่านไป 
อาชีพที่คิดว่าเป็นอาชีพ ความฝันที่เคยคิดว่ามันดี กลับกลายเป็นเหมือนความเพ้อฝัน 
คนรักที่คิดว่าจะส่งเสริมซึ่งกันและกัน กลับทิ้งกันไป...

แต่ตัวละครก็ก้าวผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ 
เราชอบนะ เราชอบการเล่าความสัมพันธ์ของตัวละคร โดยเฉพาะของพระเอกกับพี่ชาย แล้วก็กับเพื่อน

ตัวพระเอกจะมาเล่าให้พี่ฟังทุกอย่าง ทั้งเรื่องจีบสาว เรื่องดนตรี 
พี่ก็จะแนะนำแบบคนที่เกิดก่อน อะไรดีก็ว่าดี อะไรแย่ก็ว่าแย่ พร้อมๆ กับสร้างความเชื่อมั่นให้น้อง 
จนยอมทำอะไรเพื่อน้อง เพราะตัวเองไม่เคยได้ทำอะไรแบบนี้ 
เห็นใจ และ ชื่นชม อยากมีพี่แบบนี้บ้าง 555+

ตัวเพื่อนพระเอก อันนี้ชอบในความสามารถจริงๆ คนบ้าอะไรมันจะเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ชอบที่เป็นคน support เพื่อนตลอด มาเคาะประตูบ้านให้ช่วยแต่งเพลงกลางดึก ก็ช่วย 
ชวนไปเล่นดนตรี ทั้งๆ ที่อีกไม่กี่วันจะสอบ ก็ไปด้วย 
เป็นคนมีความสามารถที่มีลูกบ้าอยู่ในตัว เท่ดี 

.....................................................................................................................................

ถามว่า Sing Street ควรดูมั้ย? 
>> ถ้าเป็นคอหนังที่มีเพลงประกอบเพราะๆ ชอบฟังเพลง ควรดูมากๆ 

ถามว่า Sing Street กับ Begin Again เรื่องไหนดีกว่ากัน?
>> ก็คนละแบบ เรื่องนี้จะ feel good กว่า ดูมีความหวังมากกว่า 

เพลงประกอบหนังเพราะมั้ย? 
>> ถ้าดูหนังมาแล้ว จะฟังแล้วอินมากกว่า โดยเฉพาะเพลง Brown Shoes โคตรสะใจเลย 

โดยรวมแล้วให้เท่าไหร่? 
>> ให้ 8/10 ค่าเสียน้ำตาไป 3 ครั้ง ค่าความ feel good ค่าความเท่ของพระเอกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 
ลบ 2 ค่าความไม่หล่อไม่สวยของตัวละคร แต่ก็ทำให้ลืมไปได้ เพราะดนตรี และ ความรู้สึกดีๆ ที่ได้กลับมา

ปล. 1
มีเพื่อนอยู่ต่างจังหวัด บอกว่าหนังไม่เข้า กำลังไฟท์รวบรวมคนให้ได้ถึง 150 คน 
เพื่อให้ได้เหมามาฉาย เรามีโอกาสดูกันง่ายๆ ก็อยากให้ได้ไปดูกัน 

ปล. 2 
เรื่องนี้แปลโดยคุณจไดยุทธ ชอบเป็นการส่วนตัว :)

ปล. 3 
นี่เป็น blog แรกของปีนี้ ไม่น่าเชื่อว่าปีนี้จะได้เขียน blog 555+


Friday, November 20, 2015

The Lobster : โสด เหงา ทำไม ต้องเป็นล็อบสเตอร์

ไม่คิดเลยว่าตอนนี้กำลังเขียน blog ถึงหนังเรื่องนี้ 
"The Lobster" โสด..เหงา..เป็นล็อบเตอร์

 (ใส่สีตาม poster หนังด้วย มันจะเน้นเหงาตัวแดงอะไรนักหนา)



สปอยล์บรรทัดเว้นบรรทัด ใครจะทำไม blog ข้า

1. ไม่ได้อยากดูตั้งแต่แรก แต่เป็นคนบ้าตั๋วฟรี แล้วดันเล่นแล้วได้ 
2. เกลียดชื่อเรื่องมาก โสด เหงา แล้วทำไมต้องเป็นล็อบสเตอร์วะ 
3. ได้ตั๋วจากการตอบคำถามที่ถามว่า ถ้าเป็นโสด แล้วจะถูกสาปเป็นสัตว์ จะเลือกเป็นอะไร 
ตอบไปว่า "แมลงสาป เพราะ ไหนๆ ก็ไม่มีใครต้องการแล้ว ก็ต้องเอาให้สุด" ...ได้รางวัลค่ะ!!!
4. หนังเรื่องนี้ฉายจำกัดโรง แต่กระแสก่อนฉายมาแรงมาก ใจก็เลยเขว แอบอยากดู
5. เป็นหนังรางวัล Jury Prize ...เป็นรางวัลของที่ไหน ยังไง ไม่รู้ แต่เป็นหนังรางวัล ภาพจำ คือ ดูยากแน่ๆ 
6. blog นี้ สปอยล์มั้ย??? ไม่รู้เหมือนกัน ดูไม่ค่อยรู้เรื่อง ถ้าคิดว่าจะสปอยล์ หยุดอ่านตั้งแต่บรรทัดนี้เลยละกันเนอะ ^^



...................................................................................................................................................

หนังเกี่ยวกับอะไร? 

The Hotel คือที่ที่คนโสดถูกบังคับให้เข้าไปอยู่รวมกัน และต้องหาคู่ให้ได้ภายใน 45 วัน ถ้าหาไม่ได้ จะถูกสาปเป็นสัตว์ที่ตัวเองเลือก พระเอกคือ เดวิด เลือก Lobster 

หนังสนุกมั้ย?

มันเป็นเส้นกั้นบางๆ คนที่สนุกก็จะสนุกไปเลย คนที่ไม่สนุก ก็จะรู้สึกทรมาน ว่าต้องมานั่งดูอะไรก็ไม่รู้ ...เราเป็นคนกลุ่มหลัง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าที่ทั้งง่วงทั้งหลับ เป็นเพราะล้าสะสมจากการดูหนังหลังเลิกงานบ่อยไปรึเปล่า ...แต่ มีคนหัวเราะแบบสนุกมากๆ เรียกได้ว่าตลกร้ายตามคำวิจารณ์ก็ได้ 

ส่วนตัวแล้ว เป็นคนที่ชอบดูหนังนอกกระแส หนังฉายจำกัดโรงอยู่บ่อยๆ ก็เลยพอเข้าใจเหตุผลว่า ทำไมหนังบางเรื่อง ถึงไม่ได้ฉายโรงทั่วไป อย่างที่ว่า เส้นกั้นบางๆ จะว่าอาร์ตก็อาร์ต อินดี้ก็อินดี้ ไม่ใช่หนัง mass น่ะล่ะ เสี่ยงมากที่ถ้าฉายเยอะ อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ สู้รอกระแสปากต่อปากแบบนี้ แล้วค่อยเพิ่มโรงเพิ่มรอบกันไป 

กลับไปที่คำถาม หนังสนุกมั้ย ควรดูมั้ย... อยากดูอะไรแปลกๆ พล็อตเรื่องแปลก ได้คิดอะไรเยอะๆ  ก็ต้องดู แต่ถ้าไม่ถนัดอะไรแบบนี้ ไปดู Mocking Jay part 2 ละกัน 

ชอบมั้ย? 

บอกแล้วไงว่าหลับ จะชอบได้ยังไง 

ดูแล้วได้อะไร?

1. ใครว่าหนังเรื่องนี้ฆ่าคนโสด ..เราว่าฆ่าคนมีคู่ชัดๆ ที่เห็นว่ารักกันๆ เราพยายามเปลี่ยนตัวเองมากแค่ไหน สูญเสียความเป็นตัวเองมากแค่ไหน จำเป็นด้วยเหรอที่เราต้องหาคนที่คิดว่าเหมือนกับเรา เพราะคิดว่าเหมือนกัน ถึงจะอยู่ด้วยกันได้? 
--บรรทัดนี้สปอยล์--


ชอบคนที่มีเลือดกำเดาไหล จนถึงขั้นโขกหัวตัวเองให้มีเลือดไหลออกจากจมูก เพื่อที่จะเป็นคนประเภทเดียวกัน เข้ากันได้

เมื่อผู้หญิงตาบอด แล้วเราคิดว่าเรารักกันมาก เราจะอยู่ด้วยกันได้ เราต้องตาบอดเหมือนกัน ก็เลยจะควักลูกตาออก

...ลืมคิดไปรึเปล่า บอดทั้งคู่ แล้วจะอยู่กันยังไง เตี้ยอุ้มค่อมแล้วมั้ยน่ะ 

2. หนังพยายามชี้ให้เห็นข้อดีของการมีคู่ ซึ่งก็จริง... แต่ถ้าไม่มีจริงๆ มันก็ต้องดูแลตัวเองให้ได้ป่ะวะ
--บรรทัดนี้สปอยล์--

 เวลาเดินไปคนเดียว แล้วจะถูกคนทำร้าย ถ้าไปเป็นคู่ เราจะปลอดภัย (แต่ถ้าเดินดีๆ มีอุปกรณ์ป้องกันตัว มันก็ต้องรอดนะ)

เวลาต้องทายาที่หลัง ถ้าโสดก็ต้องดูแลตัวเอง เอื้อมให้สุด แต่ก็ทาได้ตามมีตามเกิด -- ถ้ามีคู่ มันก็น่าจะดีกว่า ...เออ อันนี้ไม่เถียง

เวลามีคู่ ฟังเพลงอะไรก็อิน อินจนไม่สนใจคนโสด ...เออ อันนี้น่าหมั่นไส้จริง ฟังเพลงอยู่ดีๆ แม่งจูบกันเฉยยยย 

3. ถามว่าคนโสด ไม่ดีเหรอ? ...ถ้าเห็นวิธีการหาคู่ หรือล่าเหยื่อในหนังเรื่องนี้แล้ว บอกเลยว่า เป็นโสดไม่ใช่เรื่องแย่เลย อีกอย่างหนึ่งคือ วิธีการปฏิบัติของ The Hotel ที่มีต่อคนโสดกับคนมีคู่ ที่คนมีคู่จะได้อยู่ดีกินดี ต่างกับคนโสด ...แน่ล่ะ ก็เป้าหมายคือการหาคู่นี่เนอะ 

สรุปเลย

เรื่องความรัก มันบังคับกันไม่ได้ป่ะวะ มันจะต้องพยายามหาคู่กันขนาดนั้นเลยเหรอ เดี๋ยวมันจะมามันก็มาเองแหละ แต่ทำไมแม่งไม่มาซักทีวะ 555+ 

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับล็อบสเตอร์ ...เออ ฝากไปดูแล้วมาเล่าให้ฟังหน่อย มัวแต่หลับ จับใจความได้แค่นี้ ถามตัวเองต่อไป โสด เหงา แล้วทำไมต้องเป็นล็อบสเตอร์ ....





Friday, September 4, 2015

Freelance ห้ามป่วย.. ห้ามพัก.. ห้ามรักหมอ.. เป็นหนัง Mass? (สปอยล์หนัก จะดูไม่ต้องอ่าน)

หลังจากเมื่อวานไปดูมา มีแต่คนถามว่า หนังสนุกมั้ย?
ตอบได้ไม่เต็มปาก ไม่ใช่เพราะสนุกหรือไม่สนุก
แต่เพราะเค้าพูดกันว่า อย่าสปอยล์เลย เพราะคำตอบมันคือการสปอยล์แน่ๆ
ก็เลยตอบแบบกลางๆ ไป แต่ที่นี่ ตรงนี้ Blog เรา เราจะสปอยล์ ฮ่าๆๆๆๆ

ไม่ใช่แค่หนังให้อะไร แต่เป็นคนดูได้อะไรจากหนังต่างหาก
นี่คงจะเป็นจุดประสงค์หลักๆ ของหนังเรื่องนี้
เราทำงานหนักเกินไปรึเปล่า เรากลัวความตายรึเปล่า เราดูแลครอบครัวดีพอรึยัง
แล้วเราคิดว่าเรามีความสุขแล้วใช่ไหม...

ยี่ห้อ GTH, ซันนี่, ใหม่ ดาวิกา -- หนังรักแน่ๆ
แต่ผิด เรื่องนี้อินดี้ และ เป็นหนังชีวิตโดยแท้
อย่างที่หลายๆ คนพูดว่า หนังเต๋อก็ยังเป็นหนังเต๋อ ลายเซ็นยังชัดเจน
ดีตรงที่หนังเรื่องนี้ ได้ GTH ช่วยขยายกลุ่มคนดู และ Tie In โฆษณาในหนังเยอะมาก

หนังไม่ได้ Feel Good สไตล์ GTH ฉะนั้น คอหนัง GTH อาจจะไม่ชอบก็ได้
แต่คุณอาจจะได้อะไรกลับไปมากกว่านั้น เชื่อเถอะ

หนังเดินเรื่องผ่านความคิดในหัวของ ยุ่น (ซันนี่) ซึ่งเป็นกราฟฟิคดีไซน์ฟรีแลนซ์
อดหลับอดนอนทำงานให้ทัน deadline
โดยไม่ได้สนใจร่างกายที่มันพยายามร้องบอกว่ากูไม่ไหวแล้วนะ
สัญญาณเริ่มต้นด้วยผื่นที่ขึ้นเพียงไม่กี่เม็ด จนทนไม่ไหว ต้องไปหาหมอโรงพยาบาลเอกชน
โดนค่ายาไปพอๆ กับงานๆ หนึ่งที่เพิ่งได้เช็คมา
ก็เลยไม่ไหว ยอมไปต่อคิวตรวจที่โรงพยาบาลรัฐ
นั่นล่ะ ก็ได้เจอกับนางเอก หรือ หมออิม

/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เทียบกับเรื่องอื่นๆ ของ GTH เรื่องนี้คงสู้ไม่ไหว
แต่มีฉากประทับใจ ที่ตลกร้าย ตลกแบบดาร์คๆ ที่ช่วยให้รู้สึกว่าไม่เสียเงินที่ไปดู

งานฟรีแลนซ์ - โอกาสมาต้องคว้า แย่งชิงเพื่อให้มีที่ยืน

มือรีทัชฝีมือดี แต่เมื่อต้องรักษาโรคผื่น คำสั่งของหมอคือ
1. งดอาหารทะเล 2. กินยาก่อนนอน 3.ออกกำลังกาย 4. นอนก่อน 3 ทุ่ม
มันตัดทางทำมาหากินชัดๆ เมื่อทำไปแบบฝืนๆ ครึ่งๆ กลางๆ
งานไม่เต็มที่ โรคไม่หาย แต่พอจะจริงจัง ตัดใจจากงานที่ตัวเองเคยตั้งใจทำมากๆ
เห็นจุดผิดเพียงนิดเดียว แอบกังวลว่าลูกค้าคงไม่เห็น 3 ทุ่มก็ต้องนอนแล้ว ก็เลยปล่อยผ่านไป

สุดท้าย เจ๋ (วี  วิโอเลต) ซึ่งเป็นคนรับงานมาให้ ดันเห็นเข้า เลยให้น้องอีกคนแก้งานให้
มันก็เหมือนหยามกันอ่ะเนอะ กลัวคนอื่นจะมาแย่งที่ยืน
สุดท้ายก็ไอ้นี่แหละ ได้งานทั้งหมดของยุ่นไป

ก็น่าคิดนะ
ว่าคนเราจะยอมอดหลับอดนอน ทำร้ายร่างกายตัวเองได้ขนาดนี้
ยุ่นอดนอนได้นานขึ้นเรื่อยๆ โดยตั้งขีดจำกัดของตัวเองจากการอดนอนครั้งล่าสุด
เคยอดนอนได้ 2 คืน พอถึงจุดหนึ่ง ก็จะทำได้มากกว่าเดิม เหมือนเล่นเกมผ่าน level
ผ่านด่านมาได้ ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว
จนช่วงสุดท้าย หลังจากเบรคจากงานไปนาน
ใครมาหลอกเสนองานให้ก็รับหมด เพราะอยากเป็นที่ยอมรับ อยากก้าวหน้าในงาน
งานที่คิดว่าตัวเองรัก ทำได้ดี และมีความสุขที่ได้ทำมันจริงๆ

ครั้งสุดท้าย ยุ่น อดนอนได้ถึง 12 วัน....


ใกล้ความตาย

ชอบความรู้สึกตัวเองตอนดูฉากนี้มากๆ เคยคิดถึงงานศพตัวเองอยู่บ่อยๆ
รู้สึกว่า เฮ้ยแม่งใช่ว่ะ แอบน้ำตาไหลด้วย

หลังจากอดนอน 12 วัน ร่างกายมันเริ่มไม่ไหวจริงๆ ผื่นขึ้นหนักกว่าเดิม
ที่เพิ่มเติมคือ ความคิดในหัวยุ่น เริ่มคิดไปแล้วว่าตัวเองกำลังจะตาย
ล้มวูบใส่ขอบโต๊ะ... แล้วก็มโนถึงงานศพตัวเอง
...เอาแล้วไง พระเอกตาย แล้วนางเอกอ่ะ เหยยยย ยังไม่ได้รักกันเลย
หนังโหดว่ะ โปรโมทเป็นหนังรัก แต่พระเอกตาย โอยยยยยย

ยุ่นเริ่มคิดถึงหลายๆ อย่างที่ตัวเองยังไม่ได้ทำ นึกถึงสภาพตัวเองตอนจะตาย
สภาพห้องรกๆ แบบนี้เหรอวะ ภาพสุดท้ายก่อนตาย
นึกถึงงานศพของตัวเอง สงสัยว่าทำไมงานศพต้องไปจัดที่วัด
...จัดในห้องนี้เลยไม่ได้เหรอ แล้วไม่ต้องมีพระสวดได้มั้ย
ชอบฟัง TK มาก อยากให้ TK มาร้องเพลงผ้าเช็ดหน้าในงานศพ (แล้ว TK ก็มาจริง)
ส่วนแขกที่จะเชิญมา ก็มี 1. 2. 3. 4. >> 4 คน แค่นี้เหรอวะ ทำไมน้อยจัง

เพื่อนสนิท

หนึ่งในแขกที่ยุ่นเชิญมา คือ พงศธร เพื่อนสมัยประถม
คนที่ยุ่นเรียกว่าเป็นเพื่อนสนิท ถ้าจำทีเซอร์หนังได้
มันจะมีฉากงานศพ ที่ยุ่นต้องหา wifi เพื่อส่งงานด่วน
ซึ่งก็คือฉากงานศพของพ่อพงศธร...

ก่อนไป ยุ่นถาม deadline งานกับเจ๋ ว่าเลทสุดได้เมื่อไหร่
ต้องไปงานศพเพื่อนสนิท เจ๋ถามว่าสนิทมากมั้ย ...ก็สนิทมาก รู้จักตั้งแต่สมัยประถม
เจ๋ถามต่อ แล้วเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ...จำไม่ได้ว่ะ
เจ๋สรุป งั้นเรียกว่าไม่สนิท ใส่ซองไป 2 พันก็พอ อยู่ทำงาน
สุดท้าย ยุ่นก็ดื้อไปจนได้

พี้คสุดก็คงเป็นฉากที่ยุ่นคุยโทรศัพท์ หน้าคอม ที่เสียบปลั๊ก
...อยู่ข้างโลงศพ ของพ่อ เพื่อนสนิทของยุ่น
พงศธร พูดมาประโยคนึง อย่างเจ็บเลย
"งานศพกู ถ้ามึงไม่ว่าง มึงไม่ต้องมาก็ได้นะ"

แต่งานศพตัวเอง ยุ่นก็ยังอุตส่าห์ชวน พงศธร ไปจนได้...

ครอบครัว

แขกอีกคนในงานศพของยุ่น ก็คือ แม่
ในเรื่องไม่ได้พูดถึงแม่มากนัก จะมีก็แต่รูปถ่ายเก่าๆ ที่แม่ส่งมาให้ยุ่นรีทัชให้
พร้อมกับโทรมาทวงว่าทำให้หรือยัง ...จนวันที่ตัวเองจะตาย
ก็เลยนึกได้ ว่าลืมรีทัชรูปให้แม่ ...ทำงานให้คนอื่นแทบตาย
เหนื่อยแทบตาย แต่กลับหลงลืมคนในครอบครัว

เพื่อนแท้

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้! แขกในงานศพยังเหลืออีก 2 คน
คนแรก "ไก่" เป็นพนักงานเซเว่นกะดึก ที่ยุ่นมาซื้อขนมจีบกุ้งบ่อยๆ
จนสนิทกัน มีอะไรก็มาปรึกษาไก่ แม้แต่ตอนที่หมอสั่งให้ออกกำลังกาย
ยุ่นบอกว่าตัวเองชอบตีแบต แต่ไม่มีเพื่อนตี
ก็ยังถือไม้แบตมา 2 อัน มาเรียกไก่ไปตีแบตด้วยหน้าเซเว่น
เออฉากนี้ฮาจริง มีการด่าด้วย ว่าอย่าตีโยก เหนื่อย วิ่งไม่ไหว
คาแรคเตอร์ตัวนี้ ดูเป็นเพื่อนที่ไม่ได้เป็นเพื่อนอ่ะ
คือดูรู้ว่าเป็นเพื่อน ...งงมะ 55 แต่ยุ่นก็เชิญไก่ไปงานศพตัวเองนะ

อีกคนคือ "เจ๋" คาแรคเตอร์เท่ดีนะ หลายๆ คนคงชอบ
ดูแล้วน่าจะเป็นคนที่เข้าใจยุ่นมากที่สุด
แอบเชียร์ให้เป็นนางเอกมากกว่าหมออิมอีกอ่ะ
ตอนแรกเดาว่า เจ๋ต้องชอบยุ่นแน่ๆ แต่คิดไปคิดมา สภาพนี้ไม่น่าจะชอบลง
ตอนหลังปรากฎว่า เจ๋ก็ไม่ได้อยู่ดูงานให้ยุ่น
เพราะว่า บังเอิญท้อง แฟนก็เลยขอแต่งงาน
แต่สุดท้าย...เจ๋ก็เป็นคนแรก ที่กลับมาหายุ่น ในวันที่ยุ่น...

ฟื้นจากความตาย

นั่นไง หลอกให้ร้องไห้ แล้วแม่งก็ไม่ตาย คุณหลอกดาวววว
เล่าเพิ่มอีกนิด งานที่ยุ่นได้กลับมาทำหลังจากหยุดไปนาน
เป็นงานของพี่ที่รู้จักกัน ดูเหมือนเป็นมิตรในตอนแรก
แต่ก็เอางานที่ไม่ถึงกับด่วนมาก มาให้ยุ่นทำ โดยมี deadline แค่ 2 อาทิตย์
ซึ่งเจ๋ก็โทรมาเตือนแล้วว่า ไปรับมาทำไม เค้าหลอกใช้ไม่รู้เหรอ

...ก็เนี่ยแหละ ดื้อทำจนน็อค
แต่ก็ได้พี่คนนี้แหละ พาไปโรงพยาบาล พร้อมหอบคอมฯ ไปให้ถึงเตียงคนป่วย
เพื่อให้ทำงานต่อให้เสร็จ เลวแบบใสๆ อ่ะ

ความรัก

หลังจากทุกคนเข้าใจว่ามันเป็นหนังรัก พูดถึงเรื่องความรักบ้างดีกว่า

...พูดไม่ออกอ่ะ ไม่อินกับความรักเลยจริงๆ
ไม่ได้รู้สึกว่าพระเอก-นางเอกรักกัน
จบแบบให้คิดเอาเองด้วยว่าต่อไปจะเป็นยังไง
ขี้เกียจคิดอ่ะ เอาเป็นว่า...

สำหรับคนที่คิดว่าจะเข้าไปดูหนังรัก อาจจะผิดหวังมาก
การเจอกันเดือนละ 1 ครั้งในห้องตรวจ
ถ้าจะเรียกมันว่าความรัก ก็คงเป็นความรักแบบอึนๆ มาก

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ถ้าไม่แปะ logo GTH ...เราว่ามันก็หนังน้ำดีนอกกระแสเรื่องนึงเลยล่ะ
แต่เพราะเป็น GTH มันเหมือนเป็นการบังคับว่าต้องดู
แล้วก็พากันออกมาผิดหวังว่า หลอกให้ไปดูหนังอะไรก็ไม่รู้
เอาน่ะ อย่างน้อยคนที่ได้ดูแล้วก็น่าจะคิดได้ว่า

เราทำงานจนลืมดูแลตัวเอง ทำร้ายร่างกายตัวเองจนเกินไปรึเปล่า
เราดูแลครอบครัวเราดีพอแล้วรึยัง จะต้องนึกออกว่าลืมทำอะไรให้ในวันที่ตัวเองตายแล้วรึเปล่า
เรามีเพื่อนที่เราเรียกได้ว่า เป็นเพื่อนสนิทจริงๆ กี่คนกัน
กี่คนที่จะไปงานศพเราได้อย่างเต็มใจ
กี่คนกันที่พร้อมจะอยู่ข้างๆ เรา ในวันที่เราไม่มีใคร

เพราะไม่รู้จักความรักรึเปล่า เราถึงไม่ดูแลตัวเอง เพราะไม่รู้จักรัก เลยไม่ดูแลคนรอบข้าง

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า... อย่าทำงานแบบถวายหัว อู้บ้าง ไปเที่ยวบ้าง พักผ่อนบ้าง
ระวังตายไปแล้วจะไม่ได้ใช้เงินที่หามานะ... เราเตือนแล้ว เราหวังดี :)


สวัสดี Freelance



Sunday, August 30, 2015

หนังสือกับแฟน แทนกันได้?

บทสนทนาในวงเพื่อน
A: พี่หาแฟนให้เล็กซักคนดิ
B: มองหน้าเล็กแว้บนึง แล้วพูดว่า ไม่ต้องหรอก ซื้อหนังสือให้มันก็พอ
เล็ก: มองหน้าพี่ B (คิดในใจ ซื้อให้ก็เอานะพี่ 55)

คำอวยพรวันเกิด ที่ทำให้รู้ว่าการหาความสุขในแบบของเราเอง มันไม่ได้แย่

Happy Happy มีสุขนะ ปาเล็ก มีความสุข กับศิลปิน ศิลปะ กับสิ่งรอบข้าง กับลม กับฟ้า กับธรรมชาติ
กับตัวเอง สนุกกับความคิดของตัวเอง 27 27 จริงๆ แล้วปาเล็กผลิตเองได้ ไม่ต้องอวยพรให้มีหรอก "ความสุข"


///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันหยุดที่ผ่านมา
ขอให้จดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยนะ
ว่าเล็กสามารถอ่านหนังสือจบไปถึง 2 เล่ม
ย้ำว่า 2 เล่ม (!!!) ...แต่ อ่านจากที่ค้างไว้ครึ่งเล่มแล้วต่างหาก 55
ที่อ่านจบได้ เพราะมีเหตุให้ต้องรอ รอนานมาก แต่ต้องรอ

ซึ่งทั้ง 2 เล่ม ได้ลายเซ็นนักเขียนมาแบบไม่ได้ตั้งใจทั้งคู่

เล่มแรก: ในแสงแดด มีดวงดาว งานเขียนของ หนุ่มเมืองจันท์

เป็นของขวัญวันรับปริญญา จากเจ้าของคำอวยพรวันเกิดข้างบน
วันนั้นนัดกับพี่มนไปเดินงานสัปดาห์หนังสือเหมือนเช่นทุกปี
พอใกล้ถึง ถามพี่มนว่าถึงไหนแล้ว
พี่มนบอกว่า พี่ถึงแล้ว ขอลายเซ็นคุณหนุ่มเมืองจันท์อยู่
พอจะกลับ พี่มนยื่นหนังสือให้เล่มหนึ่ง บอกว่า พี่วัฒน์ฝากมาให้
(ยิ้มสิครับ รออะไร แหม่ ของฟรี 55)

"เล็กครับ เก็บดาวไว้ในใจ แล้วเดินต่อไป" - หนุ่มเมืองจันท์

ต้องบอกก่อนว่าไม่เคยอ่านงานเขียนของคุณหนุ่มเมืองจันท์เลย
แต่อ่านไปเรื่อยๆ แล้วก็สนุกดี ได้ข้อคิดอะไรหลายอย่าง
ได้เห็นว่าคนที่ประสบความสำเร็จ มีแนวคิด มีวิธีแก้ปัญหายังไง
บางเรื่อง เราคาดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ

อ่านไปแรกๆ ก็รู้สึกว่า ทำไมไม่เขียนให้เต็มบรรทัด
ขี้โกงอ่ะ ไม่คุ้ม 55 (แต่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้อ่านจบนะ ว่ามั้ย)
แล้วก็มีการบอกในตอนท้ายๆ ของเล่มด้วย ว่าทำไมถึงเขียนแบบนี้

อ่านจนจบ ถึงได้รู้ว่า หนังสือเล่มนี้ จัดอยู่ในประเภท จิตวิทยา (พัฒนาตนเอง)
มิน่าล่ะ อ่านแล้วฮึกเหิมเชียว ฮึกเหิมได้แป๊บเดียว สุดท้ายก็เดี๋ยวก่อน...

--เพราะยังไม่เคยกางปีกบิน เลยคิดว่าตัวเองบินไม่ได้--
นิทานสั้นๆ ที่สอดแทรกอยู่ในหนังสือเล่มนี้ด้วย
เป็นหนึ่งในของแถม ที่แบ่งให้คนอื่นได้ ชอบนะ
บางที เราอาจจะทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด อย่ามัวแต่คิด ลองทำเถอะ :)

ขอบคุณสำหรับหนังสือดีๆ อีกเล่มหนึ่งนะคะ :)

เล่มที่ 2: Lonely Me Lonely You งานเขียนของ วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม

เล่มนี้ ซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรง หยาดเหงื่อแรงกายของตัวเองล้วนๆ (เว่อร์ไปมั้ยเล็ก)
ซื้อจากเว็บไซต์ Godaypoets ช่วงวันแม่ เพราะลดหนักมาก
ฉันต้องซื้อ ซื้ออะไรซักเล่มแล้ววววว ก็เลยจัดเล่มนี้มา
เปิดกล่องออกมา เจอลายเซ็นจ้าาาา ปลื้มสิ ยิ้มสิๆ

"ขอให้ผ่านพ้นความโดดเดี่ยวไปได้ด้วยดีจ้ะ" - วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม
เล่มนี้เป็นงานเขียนของคุณวิไลรัตน์ เอมเอี่ยม เล่มที่ 4 ที่ได้อ่าน
"เราต่างมี ความโดดเดี่ยว ต้องเยียวยา"
หนังสือของคนเหงา ที่คนไม่เหงาก็อ่านได้
เพราะบางที เราอาจจะแอบเหงาอยู่ก็ได้...

เก่งนะที่ทำให้เรารู้สึกแบบนี้ได้

>> มองเห็นว่าเรานั่งเหงา
ถามเราว่าโอเคมั้ย
พอเราบอกว่าไม่โอเคก็สมน้ำหน้า
สมน้ำหน้าเสร็จแล้วก็ยื่นมือมาแตะไหล่
ปลอบใจให้เราหาย

>> พอเราอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร
ก็มาบอกให้ลองทำสิ
ทุกอย่างอาจจะดีขึ้น
พอคิดจะเริ่มทำ
ก็บอกว่า การอยู่เฉยๆ ก็มีข้อดีนะ
อยู่กับมันให้ได้สิ

Feeling มันจะประมาณนี้ หนังสือคือเพื่อน มันเป็นแบบนี้นี่เอง
ถ้าสนใจ ลองหามาอ่านกันดูนะ :)

ความสุขมันก็แค่นี้เอง สุขกับสิ่งที่มี สุขกับขอบเขตที่เราพอจะทำได้

เอาเป็นว่า...

หนังสือกับแฟน แทนกันได้...
จริงๆ นะ ^^



Sunday, June 14, 2015

เพลินวาน พาณิชย์ ตอน ชุมชนบางรอด


ร้านบรรยากาศดี ๆ กลางใจเมือง "เพลินวาน พาณิชย์ ตอน ชุมชนบางรอด"
Blog ที่แล้วพาไปดูหนัง เปลี่ยนไปกินกันบ้างดีกว่า 

ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ห้าง Siam Square One ใจกลางสยาม
ทางออก BTS สยาม ประตู 4 ร้านหาง่าย อยู่ใกล้ๆ ทางเข้า ฝั่ง BTS เลย

ช้าอยู่ใย ไปกินกันเถอะๆ 


หน้าร้าน
เมนูหน้าร้าน
บริเวณทางเข้า ต้องกดให้ประตูเปิดนะคะ ไม่เลื่อนอัตโนมัติ

บริเวณทางเข้า

เข้าไปแล้วจะได้บัตรซื้ออาหารคนละใบ มูลค่าในบัตรใบละ 1,000 บาท
ใช้ก่อน มาเคลมทีหลังค่ะ 
บรรยากาศภายในร้าน
กว้างขวางพอสมควร มีที่นั่งด้านนอกด้วยหากอยากชมวิวรถไฟฟ้า
แต่ตอนกลางวันร้อนมากกกกก 





































มีปลั๊กให้เสียบด้วยนะ แต่ไม่รู้มีทุกโต๊ะรึเปล่า 
                           
จริงๆก็อยากถ่ายบรรยากาศ แต่ที่จริงกว่านั้นคือ ผู้หญิงคนนี้น่ารักดี :)



มีไรกินบ้าง
นึกถึงเพลินวานได้เลยค่ะ ที่นั่นมียังไง ที่นี่ก็เหมือนกัน 
เสมือนยกเพลินวานมาไว้ในห้องแอร์จริงๆ
อาหารก็ใช้บัตรที่ได้มาตอนแรก ไปสั่งตามร้านต่างๆ 
แล้วพนักงานจะมาเสิร์ฟ พร้อมกับเอาบัตรมาคืน

เมนูก๋วยเตี๋ยว



ไปเอ็มเค เราจิ๊กไม้จิ้มฟัน มาที่นี่เราจิ๊กที่รองแก้ว


Add caption

แก้วละ 80 ค่ะ!

ไข่กระทะ 

ชุดนี้ 279 บาท ขนมปังอร่อยมาก แนะนำๆ 

ก๋วยเตี๋ยว ปริมาณน่ารักน่าเอ็นดู รสชาติจะเผ็ดร้อนๆ เพราะน้ำส้ม แปลกดี





ขนมครก ราคาโหดใช้ได้ 

อ้า อ้า อั้มมมม

น้ำขวดน้อย ราคา 20 บาท

ค่าเสียหาย 2 คน เกือบๆ 600 บาท

เมื่อพนักงานสังเกตเห็นว่าเราอิ่มแล้ว
เค้าจะถือ iPad มาเสนอให้เราสมัครสมาชิก เพื่อสะสมแต้ม
ถามไปประโยคเดียวว่ามีค่าใช้จ่ายมั้ย ไม่มีค่ะ สมัครโลดดดด
ตอนจ่ายเงิน ก็แค่บอกเบอร์โทรศัพท์ ส่วนแต้มเอาไปใช้ทำอะไร ไม่รู้เหมือนกัน 555+

บริเวณทางออก

อันนี้เล่นได้จริงป่าวว้าาา 

ตรงนี้คืนบัตร พร้อมจ่ายเงินค่ะ กดประตูเพื่อออกนะคะ

โดยรวม รสชาติอาหารก็กลางๆ แอบแพงด้วย แต่ก็ถือเป็นค่าบรรยากาศละกัน
นานๆ ไปทีก็ได้ค่ะ ไปถ่ายรูปสวยๆ
บริการดีใช้ได้ค่ะ แต่อย่าไปเช้ามาก เพราะก๋วยเตี๋ยวจะยังไม่เสร็จ
แต่ไปเช้าๆ ก็ดีนะ คนไม่เยอะดี เดินถ่ายรูปได้โดยไม่ขัดเขิน

ให้ 7 เต็ม 10 ค่ะ


Saturday, June 13, 2015

ชวนดู ชวนฟัง La Famille Belier... (Spoil เบาๆ)


ห่างหายจากการเขียน blog ไปนานมาก (อีกแล้ว)
กลับมาคราวนี้ มาชวนดูหนัง มาชวนฟังเพลง แต่ไม่รู้จะทันรึเปล่า
เพราะโรงฉายน้อยมาก รอบฉายก็น้อยมาก

La Famille Belier อ่านว่า ลาฟามิล เบลลิเย่ -- หนังสัญชาติฝรั่งเศส
(ท่องไว้ให้พูดถูก เวลาไปซื้อตั๋วหนัง)

นอกจากเป็นหนังดนตรีแล้ว ยังเป็นหนังครอบครัว ตลก ซึ้ง กินใจ กลมกล่อมที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง
เราเป็นคนชอบดูหนังแบบนี้ เหตุผลแรกคือ ชอบฟังเพลง
ปีนี้มีหนังดนตรีดีๆ มาให้ดูไปแล้ว 2 เรื่อง คือ Whiplash และ Boychoir (บอยไควร์)
จนมาถึงเรื่องนี้ ความประทับใจ แซงหน้า 2 เรื่องแรกได้อย่างไม่ต้องแปลกใจ

ธรรมชาติของหนังดนตรี คือ การสร้างแรงบันดาลใจ และเรื่องนี้ ทำได้ดี
พรสวรรค์ของนักร้อง/นักดนตรี ที่เป็นนักแสดงนำ และ ครูที่จะเป็นผู้ผลักดัน และดึงพรสวรรค์นั้นๆ ออกมา
คือสิ่งที่หนังทุกเรื่องยึดเป็นตัวเดินเรื่องเหมือนๆ กัน
และอีกสิ่งหนึ่งคือ การสนับสนุนจากครอบครัว... ซึ่ง La Famille Belier สื่อให้เห็นชัดเจนมาก

มันดราม่ามากจริงๆ
เด็กคนหนึ่ง เกิดมาในครอบครัวที่ทุกคนหูหนวกหมด ยกเว้นตัวเธอเอง
แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต ครอบครัวสามารถทำมาหากินได้ปกติ
ฐานะไม่ได้ยากลำบาก ปกติถึงขึ้นผู้เป็นพ่อ ตัดสินใจลงสมัครนายกเทศมนตรี

ชอบฉากหนึ่งที่ร้านขายชีส มีลูกค้ามา แม่เค้าก็ยิ้ม เพราะฟังไม่ได้ยิน
จนตัวนางเอก หันมา แล้วบอกว่า แม่มีหน้าที่ยิ้ม ส่วนเธอมีหน้าที่คุยกับลูกค้า

เฮ้ยยยยย คือ... มันยิ้มได้อ่ะ ชอบที่เค้าไม่ได้แสดงออกว่า เค้าผิดปกติ
อยู่ในสังคมได้อย่างไม่ขัดเขิน แถมมีความสุขอีกด้วย

หนังดูท่าทางจะ Feel Good ...แต่กว่าจะถึงคำว่า Feel Good
มันต้องผ่านการร้องไห้หนักมาก เราเป็นคนดูหนังแล้วอินอ่ะ
แล้วยิ่งเป็นเรื่องครอบครัวด้วย มัน sensitive มาก
ถึงกับต้องเอาเสื้อที่เอาเข้าไปกันหนาว
อุดปาก ไม่ให้ร้องไห้เสียงดัง แถมใช้เช็ดน้ำตาอีก

มีฉากประทับใจอยู่หลายๆ อยาก บางฉากมีให้ดูใน youtube แล้วด้วย

ฉากแรก...
ในคลาสเรียนดนตรี วันที่นางเอกหลุดออกจากกรอบ
ความไม่กล้า ความที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่ต้องใช้เสียง
จนครูได้ยินเสียง และ เห็นถึงพรสวรรค์ที่มี -- น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว

ฉากที่ 2
ตอนที่นางเอกกับพระเอกซ้อมร้องเพลงกันที่บ้านนางเอก
ตอนแรกหันหลังชนกัน จนอารมณ์เพลงมันได้
แล้วทั้งคู่ก็หันหน้ามาหากัน -- ร้องไห้ทำไม...

ฉากที่ 3
ตอนการแสดงดนตรีประสานเสียงของโรงเรียน
ทางโรงเรียนเชิญผู้ปกครองมาด้วย
อย่างที่รู้กันว่าครอบครัวนางเอกนั้นหูหนวก ไม่ได้ยินเสียงอยู่แล้ว
เราก็จะได้เห็นการสังเกตปฏิกิริยาของคนที่ได้ยิน
แต่สิ่งที่สุดยอดของหนังก็คือ ...ในฉากที่พระเอกนางเอกร้องเพลงคู่
คนดูในโรง ได้เข้าไปอยู่ในโลกของคนหูหนวกด้วย
เราไม่ได้ยินเสียงเพลง เช่นเดียวกับพ่อ แม่ และน้องของนางเอก
เฮ้ยยยยยย คิดได้ยังไง -- น้ำตาไหลจริงจังครั้งแรก

ฉากที่ 4
อันนี้คือฉากที่สุดยอดฉากหนึ่ง คือ หลังจากที่พ่อได้ไปดูการแสดงของลูกแล้ว
และได้เห็นว่า ลูกคงมีพรสวรรค์จริงๆ
ตอนนั้นลูกตัดใจจะไม่ไปคัดตัวที่ปารีสแล้ว เพราะไม่อยากทิ้งครอบครัวไป
หลังกลับจากงาน ลูกก็ยังไม่เข้าบ้าน พ่อก็ตามไป
และขอให้ร้องเพลงที่ร้องในงานวันนี้ให้ฟังอีกครั้ง

วิธีการฟัง ก็คือ พ่อเอามือมาจับที่คอของลูก เพื่อฟังการสั่นของเสียง
นั่นคือการเข้าใกล้การได้ยินที่สุด ทั้งๆ ที่พ่อไม่ได้ยิน
เฮ้ยยยยยยย -- น้ำตาไหลอีกครั้ง

ฉากที่ 5
หลังจากพ่อได้ฟังเพลงของลูกสาวแล้ว ก็ตัดสินใจพาลูกไปคัดตัว
คือแค่ไปให้กำลังใจอยู่บนเก้าอี้ด้านบน
แต่ก็เกิดสิ่งที่ทำให้ถึงกับต้องร้องไห้โฮ ร้องไห้จริงๆ นะ ไม่ใช่แค่น้ำตาไหล

ด้วยเนื้อหาของเพลงด้วย ที่สื่อว่า ลูกแค่ต้องการทำตามความฝัน
ไม่ได้จะหนีไปไหน แค่จากกันชั่วคราว
นั่นเป็นสิ่งที่พ่อและแม่กลัวว่าลูกจะทิ้งครอบครัวไป

ภาษามือที่นางเอกทำมาตลอดชีวิตการเป็นลูก
ถูกนำมาใช้ประกอบเพลงที่ร้อง เพื่อให้ครอบครัวที่อยู่ด้านบน ได้ยินไปพร้อมกัน
ยกให้ฉากนี้เป็นฉากที่สุดยอดของหนังเรื่องนี้

เพลง Je Vole (ลูกจะบินไป)

อยากให้ได้ไปดูกัน หนังดีๆ อีกหนึ่งเรื่อง
ไปดูกันๆ