ห่างหายจากการเขียน blog ไปนานมาก (อีกแล้ว)
กลับมาคราวนี้ มาชวนดูหนัง มาชวนฟังเพลง แต่ไม่รู้จะทันรึเปล่า
เพราะโรงฉายน้อยมาก รอบฉายก็น้อยมาก
La Famille Belier อ่านว่า ลาฟามิล เบลลิเย่ -- หนังสัญชาติฝรั่งเศส
(ท่องไว้ให้พูดถูก เวลาไปซื้อตั๋วหนัง)
นอกจากเป็นหนังดนตรีแล้ว ยังเป็นหนังครอบครัว ตลก ซึ้ง กินใจ กลมกล่อมที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง
เราเป็นคนชอบดูหนังแบบนี้ เหตุผลแรกคือ ชอบฟังเพลง
ปีนี้มีหนังดนตรีดีๆ มาให้ดูไปแล้ว 2 เรื่อง คือ Whiplash และ Boychoir (บอยไควร์)
จนมาถึงเรื่องนี้ ความประทับใจ แซงหน้า 2 เรื่องแรกได้อย่างไม่ต้องแปลกใจ
ธรรมชาติของหนังดนตรี คือ การสร้างแรงบันดาลใจ และเรื่องนี้ ทำได้ดี
พรสวรรค์ของนักร้อง/นักดนตรี ที่เป็นนักแสดงนำ และ ครูที่จะเป็นผู้ผลักดัน และดึงพรสวรรค์นั้นๆ ออกมา
คือสิ่งที่หนังทุกเรื่องยึดเป็นตัวเดินเรื่องเหมือนๆ กัน
และอีกสิ่งหนึ่งคือ การสนับสนุนจากครอบครัว... ซึ่ง La Famille Belier สื่อให้เห็นชัดเจนมาก
มันดราม่ามากจริงๆ
เด็กคนหนึ่ง เกิดมาในครอบครัวที่ทุกคนหูหนวกหมด ยกเว้นตัวเธอเอง
แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต ครอบครัวสามารถทำมาหากินได้ปกติ
ฐานะไม่ได้ยากลำบาก ปกติถึงขึ้นผู้เป็นพ่อ ตัดสินใจลงสมัครนายกเทศมนตรี
ชอบฉากหนึ่งที่ร้านขายชีส มีลูกค้ามา แม่เค้าก็ยิ้ม เพราะฟังไม่ได้ยิน
จนตัวนางเอก หันมา แล้วบอกว่า แม่มีหน้าที่ยิ้ม ส่วนเธอมีหน้าที่คุยกับลูกค้า
เฮ้ยยยยย คือ... มันยิ้มได้อ่ะ ชอบที่เค้าไม่ได้แสดงออกว่า เค้าผิดปกติ
อยู่ในสังคมได้อย่างไม่ขัดเขิน แถมมีความสุขอีกด้วย
หนังดูท่าทางจะ Feel Good ...แต่กว่าจะถึงคำว่า Feel Good
มันต้องผ่านการร้องไห้หนักมาก เราเป็นคนดูหนังแล้วอินอ่ะ
แล้วยิ่งเป็นเรื่องครอบครัวด้วย มัน sensitive มาก
ถึงกับต้องเอาเสื้อที่เอาเข้าไปกันหนาว
อุดปาก ไม่ให้ร้องไห้เสียงดัง แถมใช้เช็ดน้ำตาอีก
มีฉากประทับใจอยู่หลายๆ อยาก บางฉากมีให้ดูใน youtube แล้วด้วย
ฉากแรก...
ในคลาสเรียนดนตรี วันที่นางเอกหลุดออกจากกรอบ
ความไม่กล้า ความที่อยู่ในครอบครัวที่ไม่ต้องใช้เสียง
จนครูได้ยินเสียง และ เห็นถึงพรสวรรค์ที่มี -- น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว
ฉากที่ 2
ตอนที่นางเอกกับพระเอกซ้อมร้องเพลงกันที่บ้านนางเอก
ตอนแรกหันหลังชนกัน จนอารมณ์เพลงมันได้
แล้วทั้งคู่ก็หันหน้ามาหากัน -- ร้องไห้ทำไม...
ฉากที่ 3
ตอนการแสดงดนตรีประสานเสียงของโรงเรียน
ทางโรงเรียนเชิญผู้ปกครองมาด้วย
อย่างที่รู้กันว่าครอบครัวนางเอกนั้นหูหนวก ไม่ได้ยินเสียงอยู่แล้ว
เราก็จะได้เห็นการสังเกตปฏิกิริยาของคนที่ได้ยิน
แต่สิ่งที่สุดยอดของหนังก็คือ ...ในฉากที่พระเอกนางเอกร้องเพลงคู่
คนดูในโรง ได้เข้าไปอยู่ในโลกของคนหูหนวกด้วย
เราไม่ได้ยินเสียงเพลง เช่นเดียวกับพ่อ แม่ และน้องของนางเอก
เฮ้ยยยยยย คิดได้ยังไง -- น้ำตาไหลจริงจังครั้งแรก
ฉากที่ 4
อันนี้คือฉากที่สุดยอดฉากหนึ่ง คือ หลังจากที่พ่อได้ไปดูการแสดงของลูกแล้ว
และได้เห็นว่า ลูกคงมีพรสวรรค์จริงๆ
ตอนนั้นลูกตัดใจจะไม่ไปคัดตัวที่ปารีสแล้ว เพราะไม่อยากทิ้งครอบครัวไป
หลังกลับจากงาน ลูกก็ยังไม่เข้าบ้าน พ่อก็ตามไป
และขอให้ร้องเพลงที่ร้องในงานวันนี้ให้ฟังอีกครั้ง
วิธีการฟัง ก็คือ พ่อเอามือมาจับที่คอของลูก เพื่อฟังการสั่นของเสียง
นั่นคือการเข้าใกล้การได้ยินที่สุด ทั้งๆ ที่พ่อไม่ได้ยิน
เฮ้ยยยยยยย -- น้ำตาไหลอีกครั้ง
ฉากที่ 5
หลังจากพ่อได้ฟังเพลงของลูกสาวแล้ว ก็ตัดสินใจพาลูกไปคัดตัว
คือแค่ไปให้กำลังใจอยู่บนเก้าอี้ด้านบน
แต่ก็เกิดสิ่งที่ทำให้ถึงกับต้องร้องไห้โฮ ร้องไห้จริงๆ นะ ไม่ใช่แค่น้ำตาไหล
ด้วยเนื้อหาของเพลงด้วย ที่สื่อว่า ลูกแค่ต้องการทำตามความฝัน
ไม่ได้จะหนีไปไหน แค่จากกันชั่วคราว
นั่นเป็นสิ่งที่พ่อและแม่กลัวว่าลูกจะทิ้งครอบครัวไป
ภาษามือที่นางเอกทำมาตลอดชีวิตการเป็นลูก
ถูกนำมาใช้ประกอบเพลงที่ร้อง เพื่อให้ครอบครัวที่อยู่ด้านบน ได้ยินไปพร้อมกัน
ยกให้ฉากนี้เป็นฉากที่สุดยอดของหนังเรื่องนี้
เพลง Je Vole (ลูกจะบินไป)
อยากให้ได้ไปดูกัน หนังดีๆ อีกหนึ่งเรื่อง
ไปดูกันๆ